
'เอกนิติ' รมว.คลัง เผยยุทธศาสตร์เร่งด่วน 'กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว' 5 เสาหลักภายใต้กรอบเวลา 4 เดือน ดึงเศรษฐกิไทยพ้นภาวะติดหล่ม ย้ำใช้นิติธรรม-โปร่งใส เป็นฐานสำคัญออกนโยบาย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2568 ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กล่าวบนเวทีสาธารณะด้านหลักนิติธรรม ครั้งที่ 3 The Third Rule of Law Forum จัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเปิดเผยถึงยุทธศาสตร์เร่งด่วน 'กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว' (Quick Big Win) ภายใต้กรอบเวลา 4 เดือน เพื่อดึงเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญภาวะติดหล่ม และสุ่มเสี่ยงต่อการดิ่งเหวให้กลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมี หลักนิติธรรมและความโปร่งใส เป็นฐานรากสำคัญในการออกแบบนโยบาย
ดร. เอกนิติ เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ของหน่วยงานภาครัฐ GDP ไทยในไตรมาส 3 คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.7% และในไตรมาสที่ 4 อาจเหลือเพียง 0.3% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การเปิดเผยข้อมูลตัวเลข GDP รายไตรมาสอย่างโปร่งใสครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาและสร้างความชอบธรรมในการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อป้องกันวิกฤต
"หากไม่ใช้เครื่องยนต์เดียวที่มีอยู่ (การใช้จ่ายรัฐบาล) เศรษฐกิจจะไม่เพียงแค่ติดหล่ม แต่อาจจะดิ่งเหวเลย" ดร. เอกนิติกล่าว
ดร.เอกนิติ กล่าวว่า การเติบโตอย่างยั่งยืนต้องตั้งอยู่บน 4 เสาหลักทางเศรษฐกิจ คือ
-
การเติบโตระยะยาวและขีดความสามารถในการแข่งขัน ต้องสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ไม่ใช่การกระตุ้นชั่วคราว โดยชี้ว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของไทยลดลงจาก 7% ในอดีตเหลือต่ำกว่า 2% ในปัจจุบัน
-
เสถียรภาพภายในประเทศ โดยปัญหาเร่งด่วนที่สุดคือ 'วิกฤตหนี้ 3 ขา' ซึ่งประกอบด้วย หนี้ครัวเรือน ที่สะสมมานาน, หนี้ธุรกิจ SME ที่เผชิญภาวะขาดสภาพคล่อง และความจำเป็นในการรักษา วินัยการคลัง อย่างเข้มงวด เพื่อตอบสนองต่อสัญญาณเตือนจาก Rating Agency
-
ลดความเหลื่อมล้ำ ต้องจัดการกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้และทรัพย์สินที่รุนแรง โดยยกข้อมูลที่แสดงว่าเพียง 1% ของบัญชีเงินฝาก กลับถือครองเงินฝากรวมถึง 80%
-
ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเน้นการเติบโตที่ไม่ทำลายทรัพยากร และการใช้กลไกภาษี เช่น Carbon Tax ในอนาคต
นอกจากนี้ จะต้องมีหลักนิติธรรมเป็นระบบนิเวศที่ช่วยให้ระบบเป็นธรรมและตรวจสอบได้ โดยนโยบายทั้งหมดต้องมีการเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินทุน ผลได้ผลเสีย และอนุญาตให้ภาคเอกชนเข้าร่วมตรวจสอบ (เช่น การใช้ระบบ E-donation ในการลดหย่อนภาษีเพื่อป้องกันการทุจริต) ในส่วนของประสิทธิภาพกฎหมาย ต้องเร่งรัดการปฏิบัติงานภาครัฐให้รวดเร็วขึ้นทันที (Guillotine) โดยยกตัวอย่างการปรับปรุงขั้นตอนการอนุมัตินำเข้าสินค้าให้รวดเร็วโดยไม่ต้องรอกฎหมายใหญ่
ดร.เอกนิติ กล่าวถึงนโยบาย 5 เสาหลัก (Quick Big Win) ภายใน 4 เดือน โดยแผนงานเร่งด่วนนี้จะเน้นการใช้จ่ายงบประมาณอย่างจำกัดและเน้นผลในระยะยาว ภายใต้ฐานรากคือ วินัยการคลัง ที่จะไม่กู้เพิ่ม มี 5 เสาหลัก ดังนี้
-
กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ผ่านนโยบาย คนละครึ่งพลัส และการเติมเงินบัตรสวัสดิการ ถูกออกแบบให้เป็น Inclusive Growth (รวมคนจนเข้าในระบบด้วยการเพิ่มเงิน) และเน้นการกระจายเม็ดเงินสู่ SME เท่านั้น และผนวกการ Re-skill/Up-skill (สอนขายออนไลน์, การทำบัญชีดิจิทัล) เข้าไปในแอปพลิเคชัน เพื่อยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อผลลัพธ์ระยะยาว
-
ลดหนี้ เร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ค้างเก่าของเกษตรกร (ชำระหนี้ ธ.ก.ส. ค้างเก่าทันที)
-
สร้างการออม/ตาข่ายรองรับทางสังคม เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการซื้อ พันธบัตรรัฐบาล ผ่านระบบดิจิทัล เพื่อสร้างทางเลือกในการออมที่ดีกว่า และสามารถใช้เป็นแหล่งเงินฉุกเฉินยามจำเป็นได้
-
เร่งออกมาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่ SME
-
การลงทุนระยะยาวด้วยการ Re-skill ใช้เงินกองทุน BOI 1 หมื่นล้านบาท จัดทำหลักสูตร Short Course Training เพื่อผลิตแรงงานทักษะสูง (เช่น Data Center, EV, Semi-conductor) ให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่กำลังลงทุน
ดร. เอกนิติ ทิ้งท้ายว่า เป้าหมายการวัดผลที่ชัดเจนคือ GDP ไตรมาส 4 ต้องดีกว่าที่คาดการณ์ 0.3% และเน้นย้ำถึงการทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มาตรการทั้งหมดสามารถส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้จริงภายใน 4 เดือน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา