
ปปง. ตามยึดอายัดทรัพย์ 14 รายการ ที่ดิน-เงินฝาก รวมมูลค่ากว่า 2 ล. คดี บ.พาราไทยฯ กับพวก ฉ้อโกงชักชวนร่วมลงทุน ปลอมเอกสารอ้างได้รับสัมปทาน การยางฯ เสียหาย 130.7 ล. หลังโอน 241.1 ล.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย 30/2568 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เรื่อง ยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว
สืบเนื่องจากสำนักงาน ปปง. ได้รับรายงานจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย กรณีบริษัท พารา โดยนางสาวพิมพ์นารา กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้มาร่วมลงทุนตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 มีการโฆษณาหรือประกาศให้บุคคลตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปหลงเชื่อ ผู้เสียหายได้โอนเงินร่วมลงทุนไปยังบัญชีเงินฝากของนางสาวพิมพ์นาราและนางชญาภา รวมเป็นเงิน 241,124,253 บาท ผู้เสียหายได้รับผลตอบแทนเป็นเงินจำนวน 122,965,178.68 บาท ต่อมานางสาวพิมพ์นารา ยอมรับว่าไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนและคืนเงินลงทุนได้ทั้งหมด เนื่องจากธุรกิจทั้งหมดเป็นเรื่องที่สร้างหรือปลอมขึ้นเอง และไม่เคยได้รับสัมปทานจากการยางแห่งประเทศไทย
พฤติการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน โดยผู้เสียหายได้รับความเสียหายเป็นเงิน 130,737,974.32 บาท ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการไว้เป็นคดีอาญา
ทรัพย์สินที่ ปปง.มีคำสั่งยึดและอายัด จำนวน 14 รายการ รวมราคาประเมินจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 2,042,830.88 บาท (สองล้านห้าหมื่นสองพันแปดร้อยสามสิบบาทแปดสิบแปดสตางค์) พร้อมดอกผล
@เปิดรายละเอียดคำสั่งยึดอายัดทรัพย์
คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ย. 30/2568 เรื่อง ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว
ด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับรายงานจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ตามหนังสือที่ ตช 0026.94/1077 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2566
เรื่อง รายงานเหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย ตามเลขรับที่ สอ 14 ลงวันที่ 8 มกราคม 2567 เรื่อง ขอเฉลี่ยทรัพย์คืน ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 เกี่ยวเนื่องกัน บริษัท พารา โดยนางสาวพิมพ์นารา กรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท พารา ได้มีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหาย ได้ร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม โดยมีการโฆษณาหรือประกาศหรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมาร่วมลงทุน โดยนางสาวพิมพ์นารา ได้มีการตกลงจ่ายเงินปันผลตอบแทนการลงทุนซึ่งคำนวณจากส่วนต่างผลกำไรแต่ละงวด ซึ่งผู้เสียหายได้โอนเงินร่วมลงทุนไปยังบัญชีเงินฝากธนาคารของนางสาวพิมพ์นารา และนางชญาภา รวมเป็นเงิน 241,124,253 บาท ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินจำนวน 122,965,178.68 บาท ต่อมา นางสาวพิมพ์นารา ได้ยอมรับว่าไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนและคืนเงินลงทุนทั้งหมดได้ เนื่องจากการดำเนินงานทั้งหมดเป็นเรื่องที่สร้างหรือปลอมขึ้นเองทั้งสิ้น ไม่เคยมีการทำธุรกิจใด ๆ ที่ได้รับสัมปทานจากการยางแห่งประเทศไทย และจากการหลอกลวงดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 130,737,974.32 บาท
ต่อมาพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ รับคำร้องทุกข์ โดยนางสาวพิมพ์นารา กรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท พารา ในฐานะนิติบุคคล ผู้ต้องหาที่ 1 นางสาวพิมพ์นารา ในฐานะส่วนตัว ผู้ต้องหาที่ 2 และนางชญาภา ผู้ต้องหาที่ 3 ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันปลอมและใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอม และร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มาตรา 343 มาตรา 265 และมาตรา 268 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 3 มาตรา 4 และมาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 (1) ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ ไว้เป็นคดีอาญาที่ 637/2566 และต่อมามีความเห็นควรสั่งฟ้อง บริษัท พารา
นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงจากหนังสือขอเฉลี่ยทรัพย์คืนของนางสาวภคมน ผู้เสียหาย กับพวก จากการกระทำความผิดของบริษัท พารา กับพวก ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 16,588,947.16 บาท โดยพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ตามคดีอาญาที่ 4312/2566 กรณีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบริษัท พารา เป็นผู้มีพฤติการณ์การกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า บริษัท พารา กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว
@เข้ามูลฐานความผิด กม.ฟอกเงิน
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ที่ประชุมมีมติมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม. 265/2567 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รายบริษัท พารา กับพวก พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า บริษัท พารา กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทำอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง หรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน
และจากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 14 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินตามโฉนดที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อันเป็นทรัพย์สินที่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียน ในการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง
โดยผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง อาจดำเนินการทางนิติกรรมโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองในทางทะเบียนได้ และสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย หากมิได้มีการออกคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดำเนินการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบริษัท พารา กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
@สั่งยึดอายัดทรัพย์ ชั่วคราว 14 รายการ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรมในการประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรม ว่าด้วยการรับเรื่อง การตรวจสอบ การพิจารณาดำเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25 คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 14 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยมีรายการทรัพย์สินที่ยึดและอายัดปรากฏตามบัญชีทรัพย์สินแนบท้ายคำสั่งนี้
ทั้งนี้ ให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวหรือสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์หรือดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวด้วย
ในกรณีผู้ซึ่งถูกยึดและอายัดทรัพย์สินตามคำสั่งนี้หรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินดังกล่าว ประสงค์จะขอให้มีการเพิกถอนคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวนั้น ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมด้วยหลักฐานที่เกี่ยวข้องที่แสดงว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดดังกล่าวนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเป็นหนังสือ
อนึ่ง การยักย้าย ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดหรืออายัดไว้หรือที่ตนรู้หรือควรรู้ว่าจะตกเป็นของแผ่นดิน อาจมีความผิดทางอาญาและต้องระวางโทษตามนัยมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542




@ ประกาศ ปปง.ให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอชดใช้คืน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เรื่อง ให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องเพื่อขอรับคืนหรือชดใช้คืนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน รายคดี บริษัท พาราไทย ส่งออก จำกัด กับพวก กรณีบริษัท พาราไทย ส่งออก จำกัด โดยนางสาวพิมพ์นารา จันทร์ศรี กรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท พาราไทย ส่งออก จำกัด ซึ่งมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหาย และได้ร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม โดยมีการโฆษณาหรือประกาศหรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป โดยตกลงจ่ายเงินปันผลตอบแทนการลงทุนซึ่งคำนวณจากส่วนต่างผลกำไรแต่ละงวด ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ มาร่วมลงทุน จำนวน 14 รายการ พร้อมดอกผล หลังคณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 ให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน
ดูประกาศในลิงก์: https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/62366.pdf

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา