
‘เศรษฐพุฒิ’ หนุน ‘ทีมไทยแลนด์’ เร่งเจรจาภาษีสหรัฐฯให้ ‘ครบ-จบ-ชัดเจน’ พร้อมออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ หวัง ‘ภาครัฐ-ภาคธุรกิจ-ภาคการเงิน’ เร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
..................................
เมื่อวันที่ 16 ก.ค. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในพิธีมอบรางวัล MONEY & BANKING AWARDS 2025 ตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทาย ทั้งจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และเศรษฐกิจภายในที่เผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง การจะก้าวผ่านสถานการณ์ดังกล่าวไปได้นั้น สิ่งสำคัญ คือ ความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
“การที่จะก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปได้นั้น สิ่งสำคัญ คือ ความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการเงิน ในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้โอกาสนี้เร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถปรับตัวและขับเคลื่อนต่อไปได้ในระยะข้างหน้า” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ไทยพยายามเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ ว่า ตนไม่ได้อยู่ในทีมเจรจา หรือ 'ทีมไทยแลนด์' จึงไม่ทราบรายละเอียด แต่จากการที่เริ่มเห็นข่าวเกี่ยวกับผลการเจรจาของประเทศอื่นๆ ทยอยออกมา สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่ไทยจะต้องเจรจาให้ครบ จบ และชัดเจน ซึ่งเมื่อมีรายละเอียดต่างๆออกมาแล้ว ไทยต้องออกมาตรการมารองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่น SMEs
นายเศรษฐพุฒิ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ธปท. ได้ประเมินผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ว่า จะส่งผลกระทบในหลายช่องทาง ได้แก่ กลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐโดยตรง ,กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากจากการเปิดตลาด และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจากต่างประเทศที่ทะลักเข้ามา ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. เคยแสดงความกังวลว่า กลุ่ม SMEs จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก จากสินค้าจากต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาในประเทศ
นายเศรษฐพุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีที่ไทยจำเป็นต้องเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เช่นเดียวกับเวียดนามและอินโดนีเซียหรือไม่ ว่า การเปิดตลาด เป็นเรื่องที่แต่ละประเทศต้องดูสถานการณ์ของตัวเอง ซึ่งขณะนี้ผลการเจรจาของบางประเทศ ก็ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนในบางเรื่อง เช่น ประเด็นการสวมสิทธิ์สินค้า หรือ Transshipment อย่างกรณีของเวียดนามที่ยังไม่มีรายละเอียดว่า Transshipment คือ อะไร และนิยามอย่างไร จึงต้องรอดูปัจจัยและรายละเอียดตรงนี้ก่อน
นายเศรษฐพุฒิ ย้ำว่า กรณีที่ธุรกิจ SMEs ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้นั้น ไม่ได้เป็นเพราะ ธปท. มีการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อแต่อย่างใด แต่มาจากการที่สถาบันการเงินมองว่า การปล่อยสินเชื่อให้ SMEs มีความเสี่ยงสูง จึงไม่อยากปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น แนวทางการแก้ปัญหานี้ จึงต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ คือ เรื่องความเสี่ยง เช่น การค้ำประกันสินเชื่อ รวมทั้งจะต้องทบทวนสัดส่วนการค้ำประกันให้เหมาะสมและอาจจะต้องเพิ่มขึ้นมากว่า 40% หรือไม่
ส่วนข้อเรียกร้องให้ ธปท.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย และดูแลค่าเงิน นั้น นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่ ธปท.จะต้องเตรียมรับมือ ซึ่งการประเมินเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาก็ได้คำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้แล้ว และอยากย้ำว่า เรื่องนโยบายการเงิน ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ยังมีมาตรการอื่นๆที่ต้องพิจารณาด้วย เช่น เรื่องการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา