
กระทรวงกลาโหม-กองทัพบก ออกแถลงการณ์สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ยืนยันไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตย หนุนการทำงานของกองทัพ และไม่รับอำนาจศาลโลก ขณะที่ผบ.ทบ. สั่งการกำลังพลคุมเข้มการผ่านข้ามแดนตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 7 มิถุนายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ความว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ผมได้หารือร่วมกับ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน ณ พื้นที่อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
ภายหลังจากการหารือ มีข้อมูลบางประการที่เผยแพร่สู่สาธารณะ ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนจากเนื้อหา ที่ได้หารือกันในที่ประชุม เป็นที่น่าเสียดายที่ข้อเสนอที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่การลดการเผชิญหน้าและสันติภาพถูกปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้น กลับมีการเพิ่มกำลังทางการทหารที่ยิ่งเพิ่มความตึงเครียด ทั้งนี้ ทางเราเองจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการและเสริมกำลังด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ผมขอเน้นย้ำจุดยืน ตามที่ได้หารือกับท่านนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.ไทยจะไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตย ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น และพร้อมปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างสุดกำลัง
2.ผมขอยืนยันสนับสนุนกองทัพให้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลัง และให้กำลังใจแก่กำลังพลทุกนาย ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องผืนแผ่นดินไทย ขอย้ำว่า ทุกการดำเนินการของฝ่ายไทยจะคำนึงถึง ชีวิต ความปลอดภัย ความสงบสุขของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดน และกำลังพลที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละที่เป็นสำคัญ
3.รัฐบาลไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 และยืนยันการใช้กระบวนการเจรจาแบบทวิภาคีตาม MOU 2543 ซึ่งทั้งสองฝ่ายเคยเห็นพ้องร่วมกัน และยืนยันให้การประชุม JBC เป็นเวทีเพื่อหาทางออกโดยสันติวิธีอย่างเร็วที่สุด
4.ไทยเน้นย้ำจุดยืนเดิม ที่ขอให้มีการปรับกำลังในพื้นที่ของทั้งสองฝ่ายให้กลับสู่ที่ตั้งเดิมตามการปฏิบัติ ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อลดเงื่อนไขการยกระดับความตึงเครียดและการเผชิญหน้า
สุดท้ายนี้ ผมขอยืนยันอย่างชัดเจนว่า ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของใครก็ตามที่รุกล้ำอธิปไตยของไทย โดยรัฐบาลและกองทัพพร้อมจะปกป้องและรักษาอธิปไตยของประเทศอย่างถึงที่สุด

@ผบ.ทบ.สั่งการคุมการเข้าออกผ่านแดน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของกองทัพบก พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ลงนามในคำสั่งกองทัพบก ที่ 806/2568 เรื่อง ควบคุมการเปิด-ปิด จุดผ่านแดน ทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ความว่า
โดยที่ปรากฏว่าในห้วงเวลาที่ผ่านมาได้เกิดความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขึ้นตามแนว ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยพลเรือนและกําลังติดอาวุธของฝ่ายกัมพูชาได้รุกล้ำแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ข้ามเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง และแสดงท่าทีที่พยายามให้เกิดความเข้าใจว่าพื้นที่ตนรุกล้ำเข้ามานั้นเป็นของกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงเคารพธงชาติ การติดอาวุธเข้ามาในพื้นที่ ทั้งที่ชัดเจนว่าดินแดนที่รุกล้ำเข้ามานั้นเป็นของราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์
ซึ่งกองทัพบกได้สั่งการให้กําลังพลเข้าระงับเหตุโดยการเจรจาชี้แจงเหตุผลให้ทราบและผลักดันให้ บุคคลดังกล่าวออกไปเสียให้พ้นจากราชอาณาจักรไทยตามหลักสันติวิธีและด้วยความอดทน อดกลั้นต่อการยั่วยุของฝ่ายตรงข้าม แต่พลเรือนและกําลังติดอาวุธของฝ่ายกัมพูชาก็ยังพยายามที่ จะรุกล้ำเข้ามาในราชอาณาจักรและแสดงท่าทียั่วยุโดยไม่หยุดยั้งและอย่างเปิดเผย เกิดความ ตึงเครียดขึ้นตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และต่อประชาชนของทั้งสองประเทศที่มี ความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน
จนกระทั่งมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่กองทัพบกต้องใช้มาตรการเข้มข้น ในการผลักดันผู้รุกรานให้พ้นไปเสียจากราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะที่บริเวณ ช่องบก อําเภอนํายืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งถือเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ ผลประโยชน์ของชาติ และบูรณภาพแห่ง ดินแดนที่ไม่อาจยอมรับได้ แม้รัฐบาลไทยและกองทัพบกจะได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับยับยังความตึงเครียดตามแนวชายแดนโดยใช้กลไกที่มีตามที่ตกลงกันไว้กับกัมพชา แต่ความพยายามดังกล่าวกลับไม่ได้รับการตอบสนองในเชิงบวกจากฝ่ายกัมพูชา ทั้งยังปรากฏด้วยว่า กัมพูชาได้เสริมกําลังพลและอาวุธและยุโธปกรณ์เข้ามาประชิดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อีกเป็นจํานวนมาก มีการจัดทําที่มั่นสําหรับวางกําลังทางทหาร อันแสดงให้เห็นถึงความไม่ร่วมมือกับประเทศไทยที่มุ่งหมายจะระงับความตึงเครียดดังกล่าวโดยสันติ และเป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้อง บนสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลงวันที่ 24 ก.พ. 2519 (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia, 24 February 1976) อันเป็นหลักการพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของทุกประเทศในอาเชียน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชายังคงมีท่าทียั่วยุให้เกิดความตึงเครียด และการเสริมกำลังพลและอาวุธยุทธโธปกรณ์แสดงให้เห็นความตั้งใจอย่างชัดเจนที่จะใช้กำลังเช่นนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจยอมรับได้และเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่ออธิบไตย ความมั่นคงของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย ตลอดจนกระทบต่อความเป็นอยู่โดยปกติสุขของพี่น้องชาวไทยและกัมพูชาที่อยู่อาศัยร่วมกันอย่างสันติตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา มาช้านาน
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงยึดมั่นหลักการอยู่ด้วยกันอย่างสันติ และแสวงหาหนทางระงับยับยั้งความตึงเครียดด้วยการเจรจากันด้วยเหตุผล ภายใต้หลักการที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยและกัมพูชาไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรจากความตึงเครียดนั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จึงได้จัดการประชุม เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 และมอบหมายให้กองทัพบกดำเนินการควบคุมการเปิด -ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ พร้อมทั้งมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการที่กองทัพบกกำหนดโดยเคร่งครัด
เพื่อให้ดำเนินการเป็นไปตามที่ได้รับมอบหมายจากสภาความมั่นคงแห่งชาติดังกล่าว กองทัพบกจึงกำหนดมาตรการควบคุมการเปิด - ปิดจุดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ขึ้นไว้
ดังต่อไปนี้
ให้กองทัพภาคที่ 1 โดยผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และกองทัพภาคที่ 2 โดยผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี มีอำนาจกำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นและเหมาะสม ในการผ่านแดนบริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ในส่วนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของของประเทศไทยและการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย ให้มีอำนาจกำหนดให้เปิดหรือปิดจุดผ่านแดนแห่งใดแห่งหนึ่งหรือทุกแห่งตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ภายใต้เงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใด ๆตามที่เหมาะสมก็ได้
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 2568 เป็นต้นไป


@ มาตรการแนวชายแดนไทย - กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว
ขณะที่พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาค 1 ลงนามคำสั่งกองทัพภาคที่ 1 (เฉพาะ) ที่ 878/68 เรื่อง ควบคุมการเปิด-ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว
ตามที่ปรากฏว่าในห้วงเวลาที่ผ่านมาได้เกิดความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขึ้นตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยพลเรือนและกำลังติดอาวุธของฝ่ายกัมพูชาได้รุกล้ำแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ข้ามเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง และแสดงท่าทีที่พยายามให้เกิดความเข้าใจว่าพื้นที่ที่ตนรุกล้ำเข้ามานั้นเป็นอธิบไตยของกัมพูชา ซึ่งกองทัพบกได้เข้าระงับเหตุโดยการเจรจาตามหลักสันติวิธี และด้วยความอดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุของฝ่ายตรงข้าม แม้รัฐบาลไทย และกองทัพบกได้ใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดโนการระงับยับยั้งความตึงเครียดตามแนวชายแดน โดยใช้กลไกที่มีการตกลงกันไว้กับกัมพูชา แต่ความพยายามดังกล่าวกลับได้รับการตอบสนองในเชิงบวก จากฝ่ายกัมพูชา
ทั้งยังปรากฏด้วยว่ากัมพูชาได้เสริมกำลังพล และอาวุธและยุทโธปกรณ์เข้ามาประชิดตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา อีกเป็นจำนวนมาก อันแสดงให้เห็นถึงความไม่ร่วมมือกับประเทศไทยที่มุ่งหมายจะระงับความตึงเครียดดังกล่าวโดยสันติ และเป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2519 (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia, 24 February 1976) อันเป็นหลักการพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของทุกประเทศในอาเซียน เช่นนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจยอมรับได้และเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่ออธิบไตยความมั่นคงของชาติ และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย ตลอดจนกระทบต่อความเป็นอยู่โดยปกติสุขของพี่น้องชาวไทย และกัมพูชาที่อยู่อาศัยร่วมกันอย่างสันติตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา
กองทัพภาคที่ 1 ในฐานะที่มีพื้นที่รับผิดชอบแนวชายแดนไทย - กัมพูชา บริเวณจังหวัดสระแก้วได้พิจารณาถึงความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย และกัมพูชาไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรจากความตึงเครียดจากสถานการณ์ดังกล่าว อีกทั้งได้ดำเนินการตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติได้มอบหมายให้กองทัพบก ดำเนินการควบคุมการเปิด - ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา จึงกำหนดมาตรการดำเนินการในพื้นที่แนวชายแดนไทย - กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว ดังนี้
1.มอบอำนาจในการควบคุมจุดผ่านแดน ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา มีอำนาจในการกำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นและเหมาะสมในการผ่านแดนบริเวณ จุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่จังหวัดสระแก้ว
2. การพิจารณาความเหมาะสมในการใช้อำนาจตามข้อ 1 ให้พิจารณาถึงความจำเป็นในการทำมาค้าขาย และความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของทั้งสองประเทศที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวเป็นสำคัญ
3. การเปิดหรือปิดจุดผ่านแดนเพื่อความมั่นคง หากมีความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทยให้ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา มีอำนาจกำหนดให้ เปิดหรือปิดจุดผ่านแดนแห่งใดแห่งหนึ่งหรือทุกแห่งตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ภายใต้เงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใด ๆ ตามที่เหมาะสมได้ทันที
4.การประสานงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานให้ความร่วมร่วมมือและปฏิบัติตามคำสั่งนี้โดยเคร่งครัด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
@ นักพนัน-ท่องเที่ยวห้ามออกนอกประเทศ
นอกจากนี้ กองกำลังบูรพา ออกหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กห 0481.2/376 วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เรื่อง มาตรการควบคุม จุดผ่านแดนถาวรฯ/จุดผ่อนการค้าฯ ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว ถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ดังนี้
ตามคำสั่งกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ 806/2568 เรื่อง ควบคุมการเปิด - ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยกองทัพบกกำหนดมาตรการควบคุมการเปิด - ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ขึ้นไว้ดังต่อไปนี้ ให้กองทัพภาคที่ 1 โดยผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และกองทัพภาคที่2 โดยผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี มีอำนาจกำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นและเหมาะสม ในการผ่านแดนบริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดน ไทย – กัมพูชา ในส่วนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยและการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย ให้มีอำนาจกำหนดให้เปิดหรือปิดจุดผ่านแดนแห่งใดแห่งหนึ่งหรือทุกแห่งตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ภายใต้เงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใดๆ ตามที่เหมาะสมก็ได้
กองกำลังบูรพา ในฐานะที่เป็นหน่วยรับผิดชอบพื้นที่แนวชายแดนไทย - กัมพูชา บริเวณจังหวัดสระแก้วได้พิจารณาถึงผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย และกัมพูชาไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรจากความตึงเครียดจากสถานการณ์ดังกล่าว อีกทั้งได้ดำเนินการตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติได้มอบหมายให้กองทัพบก ดำเนินการควบคุมการเปิด - ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา จึงกำหนดมาตรการดำเนินการในพื้นที่แนวชายแดน ไทย - กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว ดังนี้
1.จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ
1.1 ปรับเวลาเปิด-ปิด จากเดิมที่ปฏิบัติปกติของตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว เวลา 06.00- 22.00 น. เป็น 08.00 - 16.00 น.
1.2 ชาวไทยที่ไปเล่นการพนันและไปท่องเที่ยวห้ามออกนอกประเทศ
1.3 ชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขาย สามารถผ่านเข้า - ออกได้ โดยมีหนังสือเดินทางหรือ Border pass เท่านั้น และให้ ตรวจคนเข้าเมืองสระแก้วพิจารณาหนังสือเดินทางหรือ Border pass จาก 14 วัน เหลือ 7 วัน
1.4 การส่งป่วยด้านมนุษยธรรม ให้ผ่านเข้า - ออกได้โดยพิจารณาจาก สำนักงานประสานงานชายแดนไทย - กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการทัพภาค 1 เป็นผู้อนุมัติเท่านั้น
1.5 สำหรับชาวไทยที่ไปทำงานหรือค้าขายในกัมพูชา สามารถออกไปได้ โดยให้ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วพิจารณาหนังสือเดินทางหรือ Border pass จาก 14 วัน เหลือ 7 วัน
1.6 ห้ามรถบรรทุกสินค้าขนาด 6 ล้อขึ้นไปผ่าน ให้ไปใช้การผ่านแดนที่จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาเท่านั้น
2.จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (หนองเอี่ยน-สตึงบท) อำเภออรัญประเทศ
2.1 ปรับเวลาเปิด-ปิด จากเดิมที่ปฏิบัติปกติของตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว เวลา 06.00-18.00 น. เป็น 08.00-16.00 น.
2.2 รถบรรทุกสินค้าขนาด 6 ล้อขึ้นไป ให้ไปใช้การผ่านแดนที่จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา เท่านั้น
3.จุดผ่านแดนถาวรบ้านเชาดิน อำเภอคลองหาด
3.1 ปรับเวลาเปิด-ปิด จากเดิมที่ปฏิบัติปกติของ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว เวลา 06.00 – 18.00 น เป็น 08.00 – 16.00 น.
3.2 ชาวไทยที่ไปเล่นการพนันและไปท่องเที่ยวห้ามออกนอกประเทศ
3.3 ชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขาย สามารถผ่านเข้า - ออกได้ โดยมีหนังสือเดินทางหรือ Border pass เท่านั้น และให้ ตรวจคนเข้าเมืองสระแก้วพิจารณาหนังสือเดินทางหรือ Border pass จาก 14 วัน เหลือ 7 วัน
3.4 การส่งป่วยด้านมนุษยธรรม ให้ผ่านเข้า-ออกได้โดยพิจารณาจาก สำนักงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการทัพภาค 1 เป็นผู้อนุมัติเท่านั้น
3.5 สำหรับชาวไทยที่ไปทำงานหรือค้าขายในกัมพูชา สามารถอกไปได้ โดยให้ ตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดสระแก้ว พิจารณาหนังสือเดินทางหรือ Border pass จาก 14 วัน เหลือ 7 วัน
3.6 ห้ามรถบรรทุกสินค้าขนาด 6 ล้อขึ้นไปผ่านเข้าออก และ ให้ไปใช้การผ่านแดนที่ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา เท่านั้น
4.จุดผ่อนปรณการค้าบ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา
4.1 ปรับเวลาเปิด-ปิดเป็น 18.00 - 12.00 น.
4.2 เข้าออกผ่านแดนตามปกติ เน้นคัดกรองคนผ่านเข้า - ออก สามารถอนุญาต/ไม่อนุญาตผ่านแดนตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ทหารที่รับผิดชอบพื้นที่
4.3 ห้ามรถบรรทุกสินค้าขนาด 6 ล้อขึ้นไปผ่าน ให้ไปใช้การผ่านแดนที่ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา เท่านั้น
5. จุดผ่อนปรนการค้าบ้านหนองปรือ อำเภออรัญประเทศ
5.1 ปรับเวลาเปิด-ปิด เป็น 08.00 - 12.00 น.
5.2 เข้าออกผ่านแดนตามปกติ เน้นคัดกรองคนผ่านเข้า - ออก สามารถอนุญาต/ไม่อนุญาตผ่านแดนตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ทหารที่รับผิดชอบพื้นที่
5.3 ห้ามรถบรรทุกสินค้าขนาด 6 ล้อขึ้นไปผ่าน ให้ไปใช้การผ่านแดนที่ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา เท่านั้น
ทั้งนี้ ขอให้ยึดดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงจากกองกำลังบูรพา และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับทราบด้วย
@ นาวิกฯจันทบุรี ระงับนทท.ไทย-กัมพูชา เข้าออก จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม-บ้านผักกาด ชั่วคราว
ขณะที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี ได้ออกหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กห 0538.9.13/40 ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2568 เรื่องขอระงับนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวกัมพูชา เดินทางผ่านเข้า – ออก ณ จุดผ่านแดนถาวรฯ ถึง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี ดังนี้
ตามประกาศพระบรมราชโองการ ให้เลิกใช้กฎอัยการศึกในเขตพื้นที่ตามที่ระบุไว้ในข้อ 2 แห่งประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ ลงวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2550 และให้ใช้กฎอัยการศึกในเขตพื้นที่ลงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 จังหวัดจันทบุรี เฉพาะอำเภอขลุง อำเภอโป่งน้ำร้อน และอำเภอสอยดาว และตามมาตรา 6 แห่ง พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2547 กำหนดให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร มีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน เกี่ยวกับการยุทธ์ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องปฏิบัติดามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร
เนื่องจากปัจจุบันมีสถานการณ์ อันเป็นภัยคุกคามจากประเทศกัมพูชา และอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย และประชาชนชาวกัมพูชา อาศัยอำนาจตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติกฏอัยการศึก พ.ศ.2547 ขอให้ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนของทางราชการตามที่เคยปฏิบัติมา และขอให้ด่านตรวคนเข้าเมืองจันทบุรี ระงับนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางผ่านออกไปยังประเทศก้มพูชา และระงับนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชา เดินผ่านเข้ามายังประเทศไทย ณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม ตำบลเทพนิมิต อำเภอโป่งน้ำร้อน และจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด ตำบลคลองใหญ่ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดจันทบุรี เป็นการชั่วคราว (ยกเว้นแรงงานชาวกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยให้การค้าชายระหว่างประเทศเป็นไปตาปกติ)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา