‘แพทองธาร’ ทิ้งบอมบ์ปิดท้ายอภิปราย ‘พรรคประชาชน’ ก็ถูกครอบงำเหมือนกันโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ ชี้เอาคำแนะนำ ‘ทักษิณ’ มาใช้ไม่แปลก เพราะเป็นคนมีความสามารถ ก่อนแจงเรื่องอุยกูร์-แก้รัฐธรรมนูญ ก่อนท้าทายให้บอกมาเลยว่า ในการเลือกตั้งสมัยหน้าจะร่วมมือกับใครในการจัดตั้งรัฐบาล
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 25 มีนาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ เป็นวันที่ 2 มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กับคณะจำนวน 165 คน เป็นผู้เสนอ
เมื่อเวลาประมาณ 21.17 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมก่อนการแถลงสรุปการอภิปรายว่า ตลอด 2 วันที่ผ่านมา เป็น 2 วันที่ได้ยินชื่อตัวเองมากที่สุดในชีวิต และทุกท่านได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ อะไรที่เป็นเนื้อหาสาระที่มีประโยชน์ก็คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและอะไรที่มีการกระทบกระทั่งกันก็ถือเป็นเรื่องปกติและน่าจะทำงานร่วมกันต่อไปได้
@ไม่ได้ถูกครอบงำคนเดียว ‘เท้ง’ เองก็มีคนครอบงำ
ในการอภิปรายครั้งนี้ ผู้นำฝ่ายค้าน (ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ) ย้ำถึงภาวะผู้นำและการถูกครอบงำหลายครั้ง คนที่ย้ำเรื่องเดิมๆอยู่หลายครั้งไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองขาดหรือไม่ แต่ว่าจริงๆแล้วคิดว่าไม่ต้องคิดแบบนั้นก็ได้ และที่จริงไม่ใช่แค่ตัวดิฉันที่ถูกกล่าวหาเรื่องการถูกครอบงำ ตัวท่านเอง (ผู้นำฝ่ายค้าน) ก็ถูกกล่าวหาเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่ต่างกันว่า ดิฉันถูกคุณพ่อครอบงำ ของท่านถูกครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ และคิดเลยว่าไม่อยากให้ใครพูดแบบนี้ ส่วนตัวเคารพและให้เกียรติท่านผู้นำฝ่ายค้านและไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย ไม่เคยออกมาจากปากดิฉันว่าสงสัยในภาวะผู้นำของท่านอย่างไร และความจริงเราก็อายุใกล้กันก็ควรมีความเข้าใจ และที่จริงเส้นทางทางการเมืองก็มีความคล้ายกันอยู่บ้าง กว่าเราจะมาถึงตรงนี้ก็เจอชะตากรรมและการถูกกระทำของพรรคการเมืองทำให้เรามาถึงวันนี้ ถ้าหากพรรคที่ดิฉันสังกัดไม่ถูกกระทำทางการเมือง วันนี้ยังอาจมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณก็ได้ และพรรคของท่านก็อาจจะมีหัวหน้าพรรคที่ชื่อ ธนาธรก็ได้ แต่เมื่อชะตากรรมทางการเมืองเดินทางมาถึงวันนี้ ทั้งตัวดิฉันและตัวท่านก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด การด้อยค่าคนอื่นคิดว่าอย่าทำเลย
@เอาคำแนะนำ ‘ทักษิณ’ มาใช้ ไม่แปลก
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า การที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกของนายทักษิณ แน่นอนว่าถูกวิจารณ์ถูกปรามาสตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตนักศึกษา มาจนถึงวันนี้ที่เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดรองจากดิฉันก็คงเป็นคุณพ่อ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และไม่ใช่เรื่องเสียหายเช่นกันที่จะรับฟังหรือจะนำข้อแนะนำของนายทักษิณมาใช้หรือพิจารณา เพราะท่านก็เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและถูกยอมรับในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ และถ้าความคิดของท่านมีประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนก็มั่นใจว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ดี และมีนักการเมืองอีกหลายๆท่านที่โดนตัดสิทธิ์จากการยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมืองมากน้อยต่างกัน ก็ยังเห็นว่าทุกคนเดินหน้าทำงานในเรื่องของการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนโยบาย การเดินหาเสียงเพราะพี่น้องประชาชน ก็ยังทำได้ ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องของนายทักษิณเพียงคนเดียวที่เป็นประเด็น หรือนายทักษิณโดนตัดสิทธิ์ยกกำลัง 2 หรือไม่ก็ไม่แน่ใจ
ส่วนกรณีชาวอุยกูร์ เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยโดยตรง เมื่อมีการเข้ามาในประเทศแบบผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีตามขั้นตอน โดยที่จะมีการยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน แต่การกักขังไว้ 10 ปี ประเทศจีนในฐานะประเทศแม่ก็มีการขอรับตัวและมีการทวงถามโดยประเทศอื่นๆไม่ได้มีการทวงอย่างเป็นทางการหรือมาขออย่างเป็นทางการ จึงมีการติดต่อกับจีน และต้องทำให้เรามั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบด้านความปลอดภัย และถือเป็นพันธสัญญาต่อสังคมโลกจึงต้องมีการส่งกลับไป ซึ่งคณะของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เดินทางไปเมื่อไม่นานนี้ ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายและที่สำคัญดีที่สุดสำหรับประเทศ ขณะที่การกล่าวหาว่าเป็นการส่งไปโดยไม่สมัครใจ ก็รับฟังแต่สิ่งที่ต้องคิดลำดับแรกคือคนไทยต้องการอะไรแล้วอะไรดีที่สุดสำหรับประเทศไทย การที่ส่งกลับไปอะไรคือประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ แล้วการที่ชาวอุยกูร์กลับไปแล้วปลอดภัยเป็นสิ่งที่ดีกว่าหรือไม่ ดีกว่าการที่ต้องมาอยู่ในที่คุมขังเป็น 10 ปี ส่วนการประนามของประเทศอื่น ก็เคารพทุกความคิดเห็นและสิ่งที่ทำได้ก็คือต้องใช้เวลาและการอธิบายในการทำให้ทุกประเทศเข้าใจ
“ที่ท่านกล่าวหาว่ารัฐบาลทำผิดเรื่องนี้ก็ต้องถามจริงๆว่า ได้มองครบทุกมิติในโลกหรือเปล่า จริงๆท่านเป็นนักสิทธิมนุษยชน มาตรฐานก็น่าจะใช้แบบเดียวกันทั่วโลก ก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะ 2 มาตรฐานสำหรับรัฐบาลนี้โดยเฉพาะ เพราะเท่าที่จำได้ก็ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่มีนโยบายของผู้ลี้ภัย ท่านอาจจะใช้เวทีนี้ออกนโยบาย ประกาศเลยก็ได้ว่า จะทำตามที่ผู้ลี้ภัยต้องการในทุกกรณีหรือจะมีแนวทางอย่างไรบ้างประชาชนจะได้รับฟังก็ใช้วิธีนี้ซะเลย” นางสาวแพทองธารกล่าว
@กล่อมพรรคร่วมฯแก้รธน.แล้ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ขณะที่ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย และได้ลงสัตยาบันในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านในเวลานั้นเพื่อผลักดันการแก้ไขหลายครั้ง แต่ทำไม่สำเร็จ แล้วเมื่อได้มาเป็นรัฐบาลก็มีการแถลงนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ จุดยืนก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เพียงแต่ด้วยข้อกฎหมายที่ซับซ้อนทำให้การแก้ไขทำได้ยาก มีข้อเห็นต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลและวุฒิสภา (สว.) ทั้งเรื่องการทำประชามติ แต่รัฐบาลก็พยายามเดินไปข้างหน้า สิ่งที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเรียกร้องให้แสดงภาวะผู้นำ ไม่ต้องเรียกร้องเพราะทำอยู่ตลอดเวลา และมีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลตลอดในทุกๆนโยบาย และแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างให้ชัดเจน จนล่าสุดพรรคร่วมรัฐบาลที่เคยไม่เข้าประชุมก็ตกผลึกที่จะเห็นชอบร่วมกันในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะช้าไปบ้างไม่ทันใจแต่แน่นอนนี่คือโอกาสที่ชัดเจนแห่งความสำเร็จ
ส่วนภาวะผู้นำของตนก็ต้องมีความอดทนในการทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล มีเหตุผลและต้องจริงใจ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คือสิ่งที่ยึดถือและมองเห็นว่าผลสำเร็จจะเป็นยังไง เพราะถ้าให้เป็นผู้นำที่ดันทุรังมันก็จะพังทุกรอบ ไม่เป็นผลสำเร็จ ก็เชื่อว่าการดันทุรังไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่เพื่อนสมาชิกอภิปรายถึงการต่อสู้ของประชาชน ก็ขอเรียนว่ารัฐบาลนี้เคารพในสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของทุกฝ่าย และไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งก็เคยบอบช้ำเจ็บปวดขนาดไหน พรรคการเมืองที่ต่อสู้ร่วมกับประชาชนก็ยังยืนเคียงข้างกับประชาชนอย่างเปิดเผย ในพรรคก็มีนักการเมืองที่ต่อสู้เคียงข้างกับประชาชนมา และแน่นอนเราเห็นประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ มีคนเสื้อแดงหลายคนในพรรค มีลูกหลานของคนเสื้อแดงอีกมากมายในพรรค แม้จะไม่ได้พบหมวกกับผ้าพันคอมาแต่ก็แสดงออกในเรื่องนี้และอยู่ในใจเสมอ
@ดีลการเมือง เรื่องปกติ
“ถ้าคำว่าดีลหมายถึงการเจรจาหาข้อสรุปร่วมกัน การเมืองทุกที่ในโลกใบนี้ก็ต้องมีการดีลกันทั้งนั้น และก่อนหน้านี้ พรรคของเราก็ดีลกับพรรคของท่าน เรายกมือโหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของท่านเพราะเราเชื่อว่าท่านสามารถรวมเสียงสว.ได้สำเร็จ เราดีลกันแบบนั้น ไม่ว่าจะในระดับ 2 คนหรือทุกคนในพรรค แต่ว่าที่ผ่านมา เราก็รักษาคำพูดของเราเสมอ และท่านก็ดีลกับเรามาเสมอ เราทำตามดีลทุกอย่าง เมื่อปี 2562 เราเป็นพรรคที่ได้รับเลือกเป็นอันดับ 1 แต่พอถึงคราวโหวตนายกฯ ท่านก็มาดีลให้เราโหวตแคนดิเดตนายกฯของพรรคท่าน เราก็ทำตามทุกอย่าง แต่พอเลือกตั้งปี 66 ท่านก็มาดีลกับเรา เราก็ตอบตกลงและยกมือให้ท่านอีกครั้ง ครั้งแรกไม่ผ่าน ครั้งที่ 2 ก็ไม่ผ่าน และเท่าที่จำได้ท่านก็ไม่เคยยกมือโหวตให้แคนดิเดตนายกของพรรคเราเลย และเมื่อท่านตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เราจึงเดินหน้าตั้งรัฐบาลต่อไปซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของระบบรัฐสภา เรารู้ดีว่าการตั้งรัฐบาลครั้งนี้จะต้องพบกับความยากลำบาก พบกับการอธิบายให้ประชาชนฟัง แต่เรามีความตั้งใจอย่างมากที่จะผลักดันนโยบายให้ไปถึงประชาชน เรารู้อยู่แล้วว่าศักยภาพของประเทศไทยโตช้ามา 10 ปี เพราะฉะนั้นถ้าไม่เริ่มตั้งแต่วันนั้น เราจะมีนโยบายที่ออกไปถึงประชาชนแบบวันนี้เหรอคะ?” นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่ง
นางสาวแพทองธารกล่าวอีกว่า การที่กล่าวหาว่านโยบายไม่ตรงปก แต่ชาวบ้านที่ได้รับเงิน 10,000 บาทได้ถามหรือยังว่ามีความสุขกับสิ่งนั้นหรือไม่ การกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นถูกกระตุ้นแล้ว ถ้ายังไม่กระตุ้นเลยมันจะกระเตื้องแบบวันนี้หรือไม่ การที่ได้เริ่มทำถ้าไม่เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันนั้นวันนี้ก็ยังติดลบอยู่ ถ้าไม่เริ่มจากลบเป็น 0 แล้วจากศูนย์ไปเป็นบวก แล้วเมื่อไหร่ประเทศไทยจะเคลื่อนไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นเพื่อไทยหรือรัฐบาลนี้ก็จะแบกไว้ในเรื่องของการทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน
ดังนั้น ไม่มีใครอยากถูกกล่าวหา พรรคของท่านจึงควรจะประกาศให้ชัดเจนว่า สมัยหน้าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใคร เพราะถ้าพูดให้ชัดเจนตั้งแต่วันนี้ ประชาชนจะได้เกิดความสบายใจ