สส.จุลพงษ์ พรรคประชาชน อภิปรายอัด ‘นายกฯ’ ไม่จริงจังและจริงใจแก้ปัญหาพิพาท ‘ที่ดินอัลไพน์-เขากระโดง’ กลายเป็นตัวเจรจาต่อรองระหว่าง ‘เพื่อไทย-ภูมิใจไทย’ ยัน ‘แพทองธาร’ ต้องตอบเองเพราะกล่าวหานายกฯ ไม่ใช่รัฐมนตรี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 24 มีนาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนอภิปรายถึงกรณีข้อพิพาทการครอบครองที่ดินธรณีสงฆ์ ของ บจ.อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ
@เท้าความ ‘อัลไพน์’
นายจุลพงษ์เท้าความว่า ตั้งแต่ปี 2512 ที่นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดิน 2 แปลงขนาดประมาณ 900 ไร่ในพื้นที่อ.คลองหลวง จ.ธัญบุรีในสมัยนั้นให้กับวัดธรรมิการามวรวิหาร และเมื่อนางเนื่อมเสียชีวิตในปี 2515 ทำให้ที่ดินทั้งสองแปลงตกเป็นของวัดทันที โดยมีผู้จัดการมรดก 3 คน 2 ใน 3 นั้นเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ไปวิ่งเต้นกับพระภิกษุที่วัดเพื่อให้มีการขายที่ดินดังกล่าว แต่กระทรวงมหาดไทยไม่อนุมัติให้โอนที่ดินมรดกของนางเนื่อม จนปี 2532 มีการจัดตั้งมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้จัดการมรดกคนใหม่ และในที่สุดก็มีการโอนขายที่ดินให้บจ.อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับในที่สุด และในปี 2541 บิดาของนายกรัฐมนตรีเข้าซื้อหุ้นของ บจ.อัลไพน์ในที่สุด โดยมีบทสัมภาษณ์เมื่อปี 2542 ที่ระบุว่า ซื้อมาจ่ายไป 500 ล้านบาท อ้างว่าเป็นการซื้อทางธุรกิจ ไม่ได้มีบุญคุณกับนายเสนาะ ซึ่งไม่รู้ว่าเสนาะไหน
ต่อมาปี 2543 บิดาของนายกรัฐมนตรีตั้งพรรคการเมือง นายเสนาะก็เข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยด้วย และเมื่อบิดาของนายกรัฐมนตรีเข้าไปซื้อหุ้น ก็เอาหุ้นไปให้คนรับใช้ คนรับรถ คนสวน ถือหุ้นแทนในอัตราเท่าๆกัน คนละ 24 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท และเมื่อบิดาของนายกรัฐมนตรีถูกเปิดโปงจึงมีการโอนหุ้นจากทั้ง 3 คนไปที่แม่ของนายกฯ พี่สาวและตัวนายกฯเอง เมื่อตัวนายกฯถือหุ้นเองก็เท่ากับว่า เป็นเจ้าของที่ธรณีสงฆ์เองด้วย
นายจุลพงษ์กล่าวต่อว่า ในระยะเวลาต่อมามีการยื่นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาสถานะที่ดินดังกล่าว โดยคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าที่ดินเป็นของวัดธรรมิการาม โดยมีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินในขณะนั้นมีคำสั่งเพิกถอนที่ดินดังกล่าวกลับไปเป็นที่ดินของวัด แต่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ในฐานะรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และรักษาราชการแทนปลัดมหาดไทย ได้ออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ให้ยกเลิกโฉนดที่ดิน จากนั้น นายยงยุทธ ถูกเลือกให้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามลำดับ และในเวลาต่อมา นายยงยุทธก็ถูกดำเนินคดีฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ก่อนที่ถูกไล่ออกจากราชการเป็นปลดออกจากราชการย้อนหลังด้วย และในที่สุดคดีที่เกี่ยวกับนายยงยุทธก็จบลงในปี 2563 หลังจากที่นายยงยุทธยื่นฎีกาเพื่อต่อสู้เรื่องการเพิกถอนคำสั่งสมัยรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทนออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน เท่ากับว่า บจ.อัลไพน์ฯต้องคืนที่ดินให้กลับเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดธรรมิการาม
@อัลไพน์-เขากระโดง ละคร 2 พรรคการเมือง
นายจุลพงษ์กล่าวว่า ดังนั้น นางสาวแพทองธารในฐานะที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของ บจ.อัลไพน์ฯ จะต้องรู้เห็นเกี่ยวกับการโอนที่ดินดังกล่าวกลับมา ดังนั้น นายกรัฐมนตรีต้องรู้ดี รู้อยู่แก่ใจ รู้ว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ แต่ก็ยังอยากฮุบที่ดินเป็นของครอบครัว ถ้าเป็นชาวพุทธที่ดีต้องเตรียมถวายที่ดินคืนวัดตั้งนานแล้ว แต่กระบวนการฮุบที่ดินและเตะถ่วงการเพิกถอนยังมีจนถึงวันนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นเเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์กันของรัฐบาลชุดนี้ เพราะกรมที่ดินคิดค่าเสียหายรอไว้แล้ว สอดคล้องกับบิดาของนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เร็วๆนี้ว่ารำคาญ ถ้าเพิกถอนก็จ่ายค่าเสียหายมา ตอนนี้จึงเป็นการรอเจรจาต่อรองกับที่ดินอีกผืนหนึ่งที่พรรคร่วมรัฐบาลคือ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็มีปัญหาเช่นกัน นั่นคือ ที่ดินเขากระโดง หรือมันจะเป็นละคฉากใหญ่ของ 2 พรรคการเมือง
สำหรับที่ดินเขากระโดงชัดเจนว่า เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพราะมีคำพิพากษาของศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ระบุไว้ แต่นายกรัฐมนตรีปล่อยปละละเลยเล่นปาหี่ไปเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างออกมาแถลงตอบโต้ไปมา เป็นมวยล้มต้มคนดู นายกรัฐมนตรีแพทองธารสั่งการอะไรบ้างในการแก้ปัญหา นายกฯไม่ทำอะไรเลย ไม่สั่งการ นายกรัฐมนตรีต้องชี้แจง ซึ่งป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยแล้วว่า ที่ดิน 2 แปลงของตระกูลชิดชอบ มีการออกโดยไม่ชอบรฟท. อีกทั้งอัยการสูงสุดมีความเห็นว่า รฟท.ฟ้องศาลปกครองเพิกถอนโฉนดที่มิชอบได้ทันที แต่จนตอนนี้นายกรัฐมนตรีก็ไม่สั่งการอะไร
“ทีกับชาวบ้านเก่งนะครับ ฟ้องขับไล่ชนะทุกคดี ผมไม่เห็นว่าคนของรัฐบาลจะสนใจคำพิพากษาของศาลเลย ผมกล่าวหานายกรัฐมนตรีละเว้นไม่สั่งการแก้ปัญหาทั้ง 2 กรณีดังกล่าว เพราะกลัวกระทผลประโยชน์ส่วนตัว ผมขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลุกขึ้นมาตอบเอง” นายจุลพงษ์กล่าว
นายจุลพงษ์กล่าวอีกว่า หากมีใครหน้าไหนมาเสนอในลักษณะยื่นหมูยื่นแมว ประเคนเงินภาษีของประชาชนไปชดเชยให้กับครอบครัวของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องคืนที่ดินอัลไพน์ให้กับวัด แลกกับไม่ต้องเพิกถอนที่ดินเขากระโดงเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ จะยอมให้เอาเปรียบประชาชนไม่ได้เด็ดขาด ขอย้ำว่าที่ดินของนางเนื่อมที่ยกให้วัดเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่สามารถโอนให้ใครได้นอกจากออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ฉะนั้น บริษัทอัลไพน์ฯ จึงไม่สามารถรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์จากมูลนิธิได้ตามหลักกฎหมายผู้รับโอนไม่มีสิทธิ และการซื้อที่ดินของบริษัทอัลไพน์ฯจากมูลนิธิในครั้งแรก จะเห็นได้ว่าเป็นการวางแผนนำที่ดินวัด ทำเป็นธุรกิจ มีการวิ่งเต้นกับพระ และสร้างพล็อตเรื่องไม่อนุญาตให้วัด รับโอนที่มรดกของคุณยายเนื่อมมาเป็นของวัด จนมูลนิธิมีความจำเป็นต้องขายที่ดินมรดกให้คุณยายเนื่อม ให้บริษัทอัลไพน์ฯที่คนเตรียมไว้ แต่ต่อมาทั้งกฤษฎีกาและศาลได้ชี้ว่าเป็นการโอนที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนายกฯ ก็รู้ว่าที่ดินอัลไพน์ มีปัญหากฎหมายเพราะเป็นที่ธรณีส่งมาโดยตลอด
จึงขอเรียนว่านายกฯ และครอบครัวไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิไปเรียกร้องค่าเสียหายจากกรมที่ดิน ซึ่งตัวอย่างปัญหาด้านที่ดินเป็นปัญหาที่ใหญ่ เรื่องที่ดินของรัฐ ที่ชาวบ้านที่ยากจนอยู่อาศัยและทำมาหากินมาหลายปี ชาวบ้านถูกขับไล่ ถูกดำเนินคดีต้องติดคุกติดตาราง แต่กรณีที่เขากระโดงและสนามกอล์ฟอัลไพน์ นายกฯ กลับลอยไปลอยตาเพราะเอาอำนาจมาต่อรอง เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัวจนถึงที่สุด ถ้านายกฯไม่เห็นด้วยกับครอบครัวก็ต้องห้ามไม่ให้ไปฟ้อง และคืนที่ดินให้กับวัด แต่นายกฯ กลับนิ่งเฉย แสดงว่ายังต้องการยึดที่วัดไว้ต่อไปให้นานที่สุด
“เมื่อ น.ส.แพทองธาร มาเป็นนายกฯ แทนที่จะสั่งการให้ถูกต้อง กลับยังรู้เห็นเป็นใจเรื่อยมา ที่ร้ายกว่านั้นยังจงใจเพิกถอนให้หน่วยงานของรัฐ ละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและคำพิพากษาของศาลมาโดยตลอด นายกฯคนนี้ยังต้องการเอาเงินภาษีของประชาชนมาจ่าย เป็นค่าเสียหายให้กับตนเองและบุคคลในครอบครัว ช่างเป็นเวรกรรมของคนไทย เมื่อนายกฯ ยังแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว ครอบครัว และผลประโยชน์ส่วนรวมไม่ได้ จึงไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ ปล่อยปละละเลยการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินและไร้ความสามารถในการเป็นผู้นำรัฐบาล ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถไว้วางใจนายกฯ ให้บริหารราชการแผ่นดินได้ต่อไป” นายจุลพงศ์กล่าว