กรมที่ดินตรวจเข้มนิติบุคคล ขอความร่วมมือกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งข้อมูลนิติบุคคลมีพฤติการณ์ถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว จ่อดำเนินคดี-บังคับขายที่ดิน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2568 กรมที่ดินเผยข่าวประชาสัมพันธ์ ตามที่ปัจจุบันปรากฏข่าวสารทางสื่อมวลชนหลายแขนง เกี่ยวกับกรณีคนไทยหรือนิติบุคคลถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไว้แทนคนต่างด้าว (Nominee) อย่างต่อเนื่อง อาทิ กรณีทุนจีนกว้านซื้อที่ดินในพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อทำสวนทุเรียน และกว้านซื้อที่ดินในเขต EEC เพื่อตั้งโรงงานขนาดใหญ่ กรณีคนต่างชาติให้คนไทยถือครองที่ดินหรือห้องชุดเพื่ออยู่อาศัยแทนคนต่างด้าว หรือจัดตั้งบริษัทขึ้นเพื่อถือครองที่ดินหรือห้องชุดแทนคนต่างด้าว ในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี สุราษฎร์ธานี รวมทั้งในพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพมหานคร ตลอดจนข่าวคนต่างด้าวเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย
นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวว่า ปัญหาการถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไว้แทนคนต่างด้าว (Nominee) เป็นปัญหาสำคัญและมีผลกระทบต่อคนไทยในหลากหลายมิติ ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคง กรมที่ดินจึงได้มีหนังสือขอความร่วมมือกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในการแจ้งและเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เกี่ยวกับนิติบุคคลที่มีเหตุสงสัยว่า จะมีพฤติการณ์ถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไว้แทนคนต่างด้าว (Nominee) รวมถึงนิติบุคคลที่มีการเพิ่มทุนหรือเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น จนกลายเป็นนิติบุคคลที่มีลักษณะเป็นคนต่างด้าว ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เพื่อจะได้นำข้อมูลดำเนินการตรวจสอบว่า ได้ที่ดินมาถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเป็นนิติบุคคลที่มีคนไทยถือหุ้น หรือถือครองที่ดินหรือออสังหาริมทรัพย์ไว้แทนคนต่างด้าว (Nominee) หรือไม่
นายพรพจน์ กล่าวว่า หากตรวจพบว่ามีคนไทยถือหุ้น หรือถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไว้แทนคนต่างด้าว (Nominee) กรมที่ดินจะดำเนินการบังคับใช้มาตรการการลงโทษโดยเด็ดขาด โดยการบังคับให้จำหน่ายที่ดินและพิจารณาดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นคนต่างด้าว บริษัทนอมินี และคนไทยผู้ซึ่งถือหุ้นหรือได้มาซึ่งที่ดินในฐานะเป็นตัวแทนของคนต่างด้าว ในความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 111 มาตรา 112 และมาตรา 113 ตลอดจนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และมาตรา 267 ซึ่งมีทั้งโทษปรับและโทษจำคุกต่อไป
ทั้งนี้ กรมที่ดินได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด กำชับให้เจ้าหน้าที่ในสำนักงานที่ดินตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา รวมถึงให้ดำเนินการตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนโดยเร่งด่วน