สตง.เผยปี 2566-2568 มีจำนวนโครงการรัฐมูลค่ามากกว่า 500 ล้านบาท 360 โครงการ-จับมือ ป.ป.ช.-ปปท.ประเมินความเสี่ยงโพรเจกต์ปี 2567-2569 เตรียมตรวจสอบ 20 โครงการ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดย นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) โดยนายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อปฏิบัติงานร่วมกันในการขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมธรรมาภิบาลขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ และเฝ้าระวังการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ มุ่งเน้นการบูรณาการข้อมูลและการป้องกันเชิงรุก
ภายหลังการลงนามเสร็จสิ้นนายมณเฑียร นายสาโรจน์ และนายภูมิวิศาล ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
นายมณเฑียร กล่าวว่า การจัดทำโครงการขนาดใหญ่ราคา 500 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2566 มีทั้งหมด 93 โครงการ ปี 2567 มี 99 โครงการ ปี 2568 มี 168 โครงการ เมื่อโครงการผ่านการพิจารณาจากสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานของรัฐจะต้องทำแบบรายงาน สรุปแผนและแนวทางป้องกันความเสี่ยง แล้วส่งมาที่ ป.ป.ท. ซึ่งเป็นเจ้าภาพหลัก โดยร่วมกับ ป.ป.ช. สตง. และสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ร่วมกันกำกับติดตามป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริต จึงเป็นที่มาของการลงนามร่วมมือกันในวันนี้ ถ้าทั้งสามหน่วยงานต่างกันแยกกันตรวจโครงการขนาดใหญ่คงตรวจไม่ไหวจึงมาร่วมมือกัน เพื่อติดตามโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่เริ่มโครงการ อย่างไรก็ตามทั้งสามหน่วยงานไม่สามารถตรวจสอบโครงการทั้งหมดได้ จึงร่วมกันประเมินความเสี่ยงและคัดเลือกโครงการที่ต้องตรวจสอบ ซึ่งในปี 2567 มี 7 โครงการที่ต้องตรวจสอบ ปี 2568 มี 10 โครงการ และในปี 2569 มีการประเมินล่วงหน้าว่ามี 3 โครงการที่ต้องตรวจสอบ
"เราไม่ต้องการจับผิด แต่เราต้องการให้การใช้จ่ายงบประมาณในโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ต่อประชาชนทั้งหมด ได้มีการใช้จ่ายอย่างเกิดประสิทธิภาพ และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ" นายมณเฑียร กล่าว
ทั้งนี้ก่อนการลงนามตัวแทนทั้งสามหน่วยงานกล่าวถึงความสำคัญของการลงนามในวันนี้ ดังนี้
นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงฉบับนี้เป็นการบูรณาการ การทำงานของสามหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบาย และการพัฒนาเครื่องมือเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อให้โครงการขนาดใหญ่ดำเนินไปอย่างโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม พลังงาน และระบบสาธารณูปโภค เป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูงและมีความซับซ้อน การมีระบบประเมินความเสี่ยงการทุจริตที่แม่นยำจะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถระบุจุดอ่อน ลดช่องโหว่ และป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพสร้างมาตรฐานใหม่ให้การบริหารงบประมาณภาครัฐ
"สตง. มุ่งมั่นที่จะยกระดับการตรวจสอบภาครัฐให้ทันสมัย ด้วยแนวทาง ‘การตรวจสอบเชิงป้องกัน’ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการทุจริตตั้งแต่ต้นทาง โดยจะทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลและช่วยให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานตรวจสอบของไทยพร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีและแนวทางการตรวจสอบสมัยใหม่ เพื่อนำประเทศไทยไปสู่มาตรฐานสากล สตง. จะไม่รอให้เกิดความเสียหายแล้วจึงเข้ามาตรวจสอบ แต่จะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และเครื่องมือเฝ้าระวังเพื่อป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้น" นายมณเฑียร กล่าว
นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ทั้ง 3 หน่วยงานได้มาตกลงเพื่อผนึกกำลังในการทำงานประเมินความเสี่ยงในการใช้งบประมาณของภาครัฐ โดย ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงานหลัก ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนามาตรการ กลไก และเครื่องมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐและทุกภาคส่วนของสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ป.ป.ช. ได้พัฒนาและนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ มาใช้ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริตของ “ศูนย์ป้องปรามการทุจริตแห่งชาติ” (Corruption Deterrence Center ) หรือ “ศูนย์ CDC” เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริตได้อย่างรวดเร็ว สามารถ ติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการทุจริตโครงการขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเจตนารมของทั้ง 3 หน่วยงาน เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดการกระทำความผิดเลยมาทำบันทึกข้อตกลงเพื่อให้ดำเนินการอย่างอป็นรูปธรรม
"การทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องของบุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบและความเสียหายต่อทั้งประเทศ การมีระบบประเมินความเสี่ยง การทุจริตเชิงนโยบายที่ดีจะช่วยให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์การทุจริตได้อย่างแม่นยำเพื่อเฝ้าระวัง ป้องปราม ป้องกัน และลดการทุจริตที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพความร่วมมือเชิงรุกเพื่อป้องกันการทุจริตตั้งแต่ต้นทาง" นายสาโรจน์ กล่าว
นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า ป.ป.ท. ในฐานะหน่วยงานหลักในการผลักดันและขับเคลื่อนเรื่องการประเมินความเสี่ยงการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐ และมีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นการทุจริตในภาครัฐ ได้นำเครื่องมือการประเมินความเสี่ยงการทุจริตมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อป้องกัน สกัดกั้น ลด และปิดโอกาสการทุจริตในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ พร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับ สตง. และ ป.ป.ช.อย่างเต็มที่ เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ
"บันทึกข้อตกลงฉบับนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการตรวจสอบภาครัฐ ซึ่งจะมุ่งเน้นการบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการพัฒนาระบบประเมินความเสี่ยงการทุจริตให้สามารถติดตาม ตรวจสอบ และให้คำแนะนำเชิงนโยบายได้อย่างทันท่วงที เพื่อสร้างประเทศไทยที่โปร่งใสและปราศจากการทุจริต" นายภูมิวิศาล กล่าว