ป.ป.ช.ยื่นข้อเสนอหน่วยงานรัฐหลายหน่วย ทำงานเชิงรุกแก้ไขปัญหาพนันออนไลน์ แนะ กระทรวงดีอีมีระบบติดตาม หลังศาลสั่งปิดเว็บไซต์ ชี้ อสส.ควรทำระบบจัดการคดีนอกราชอาณาจักร ให้ ธปท.ดำเนินการเชิงรุก จัดทำฐานข้อมูลตรวจสอบบัญชีม้า
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 22 พ.ย.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์กรณีการแก้ปัญหาการทุจริตอันเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ โดยเนื้อหามีดังต่อไปนี้
นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 32 ในการเสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ ในการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ
เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งการพนันเป็นกิจกรรมที่ถูกกำหนดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายตามกฎหมายที่มีอยู่หลายฉบับ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่ใช้ในการควบคุมการพนัน การพนันได้พัฒนามาเป็นการพนันออนไลน์ ซึ่งมีการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือ การที่อยู่ในระบบออนไลน์ทำให้การจับกุมทำได้ยากเป็นโอกาสที่จะทำให้คนที่อยากจะทำผิดอยู่แล้วมีโอกาสเข้าถึงได้มากขึ้น และมีกระบวนการทำเป็นทางลับมากขึ้น ทั้งการเปิดเว็บไซต์ การโอนเงิน และการสร้างบัญชีม้า การพนันออนไลน์ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินโดยการดึงเงินออกจากระบบหลัก และมีความเชื่อมโยงกับการทุจริตคอร์รัปชัน
โดยการพนันออนไลน์สามารถดึงดูดเงินจำนวนมากออกจากระบบเศรษฐกิจหลัก ไหลออกไปสู่การพนันออนไลน์ และเงินดังกล่าว ไหลกลับมาเป็นเงินทุจริตคอร์รัปชัน โดยเฉพาะการใช้เงินที่ได้มาจากการพนันออนไลน์เพื่อใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย อาทิ การฟอกเงิน การจ่ายสินบน และการสนับสนุนกิจกรรมทุจริตอื่น ๆ เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ การค้ามนุษย์ รวมถึงอาจเกี่ยวพันกับการก่ออาชญากรรมด้านอื่นอีก โดยมีสายเงินจากบัญชีม้า สายเงินสีเทาเป็นจุดเชื่อม
ในการนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการพนันออนไลน์” ให้ดำเนินการศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ เพื่อหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตอันเนื่องมาจากการพนันออนไลน์ และเห็นควรมีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการตามควรแก่กรณี ตามนัยมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 81/2567 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ และให้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี และองค์กรอัยการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล
1) ให้ตั้งคณะกรรมการระดับชาติ โดยมอบหมายรัฐมนตรีเป็นประธาน ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านนโยบาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยี หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลคลื่นความถี่ หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิ และเสนอให้คณะกรรมการระดับชาติดังกล่าว พิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น
2) กำหนดเป็นนโยบายว่าการมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการพนันออนไลน์ให้ถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่ต้องมีการดำเนินการโดยเร่งด่วน
3) สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ปปง. มีนโยบายร่วมกันในการยกระดับความสำคัญของปัญหาการพนันออนไลน์ และดำเนินการเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เพื่อให้ประชาชนเห็นโทษของการพนัน ไม่ฝักใฝ่ในการเล่นการพนัน รวมถึงความผิดเกี่ยวกับการรับเป็นบัญชีม้า ตลอดจนการดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับคดีพนันออนไลน์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิดที่อาจเกิดขึ้น
4) สั่งการให้หน่วยงานภาครัฐต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 อย่างเคร่งครัด และจัดทำโครงสร้างใหม่ ดำเนินการย้ายฐานข้อมูลการทำงานของระบบราชการเข้าไปอยู่ใน Cloud Computing เพื่อให้เกิดการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
ข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำนักงานอัยการสูงสุด
ควรสร้างระบบบริหารจัดการภายในเพื่อให้มีการรองรับการดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดีนอกราชอาณาจักรที่เป็นคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีจำนวนมากได้โดยรวดเร็วมากขึ้น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กำหนดนโยบายและมาตรการที่ชัดเจน ต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรม ในการสืบสวนสอบสวนคดีการพนันออนไลน์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอื่น
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
1) ควรลงทุน พัฒนา ในเรื่องการปรับใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีเพื่อสืบค้น ตรวจจับ เว็บไซต์การพนันออนไลน์ รวมถึงเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี
2) จัดให้มีกระบวนการตรวจสอบและติดตามผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) หลังจากศาลมีหมายให้ปิดกั้นเว็บไซต์
3) พิจารณาดำเนินการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ การพนันออนไลน์ โดยเฉพาะในส่วนของ LINE OA เพื่อตัดการสื่อสารระหว่างผู้ประกอบการกับผู้เล่นพนัน
ธนาคารแห่งประเทศไทย
1) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทย สถาบันการเงินการธนาคาร สมาคมการเงินการธนาคารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการตรวจสอบทางการเงิน อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ ในการพิจารณาลดหรือทบทวนมาตรการของสถาบันการเงินหรือธนาคาร เกี่ยวกับช่องทางการเปิดบัญชีธนาคารออนไลน์ การยกระดับความเข้มข้นรัดกุมเกี่ยวกับหลักการตรวจสอบความมีอยู่จริงของลูกค้าอย่างเข้มงวด รวมถึงการพิจารณาเงื่อนไขการเปิดบัญชีใหม่และการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ ตลอดจนมีการยกระดับในการปราบปรามเกี่ยวกับบัญชีม้า การดำเนินการตรวจสอบย้อนหลังบัญชีธนาคารที่ต้องสงสัยที่มีการเปิดกับธนาคารแต่ละแห่งเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง การจัดทำฐานข้อมูลเพื่อตรวจสอบบัญชีม้าร่วมกันระหว่างธนาคาร ทั้งนี้ รวมไปถึงกระบวนการขั้นตอนการดำเนินคดีกับบัญชีม้าเพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิด และเร่งรัดกระบวนการดำเนินการเกี่ยวกับการปิดบัญชีหรือถอนชื่อบัญชีออกจากการเป็นผู้ที่สามารถมีบัญชีเป็นการทั่วไป (ขึ้น Blacklist) ในกลุ่มผู้ที่เป็นบัญชีม้าหรือยอมให้ใช้ชื่อตนเองเป็นบัญชีม้า
2) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาหารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทย ในการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเปิดบัญชี ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกสถาบันการเงิน
3) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สถาบันการเงิน สำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดการดำเนินการวางหลักเกณฑ์การตรวจสอบ สำหรับกรณีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับ การเปิดบัญชีว่าบัญชีใดที่เข้าข่ายต้องสงสัย เพื่อจัดทำแนวทางปฏิบัติและสิ่งบ่งชี้กรณีเหตุอันควรสงสัย ตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566
4) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาหารือร่วมกับ สมาคมธนาคารไทย สถาบันการเงิน สำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการจัดการปัญหาการพนันออนไลน์ และให้มี
การดำเนินการเชิงรุก เพื่อสร้างกลไกในการหยุดเส้นทางการเงินของพนันออนไลน์ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ไขข้อขัดข้องในทางปฏิบัติระหว่างหน่วยงานเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการระงับยับยั้ง สกัดกั้นเส้นทางการเงินที่ผิดกฎหมายของการพนันออนไลน์ ตลอดจนให้มีการบูรณาการและเชื่อมโยงฐานข้อมูล หรือ Blacklist ซึ่งสามารถให้สถาบันทางการเงินหรือธนาคารสามารถเข้าไปตรวจเช็คได้ว่าเป็นกลุ่มบัญชีของมิจฉาชีพหรือผู้ต้องสงสัยจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการป้องกันปัญหาการพนันออนไลน์ หรือการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
5) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทย ในการประชาสัมพันธ์และกำชับพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีความเคร่งครัด ระมัดระวัง และมีความรอบคอบในการเปิดบัญชี รวมถึงให้มีการรณรงค์ เผยแพร่ และสร้างความตระหนักรู้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่รวมถึงประชาชนทั่วไป ให้รู้เท่าทันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ในการประชุมของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ได้มีมติเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ดังนี้
1) รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
2) มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงยุติธรรม (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป