สภาเภสัชฯ ออกจดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 3 โต้ หวังแพทยสภาเปิดใจ 'หยุดและทบทวน' ยันพร้อมร่วมมือหาทางออก เปิดสถิติ ปชช. 90% หาย-ทุเลาหลังรับยา ไม่มีอาการรุนแรง-เสียชีวิต
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า จากกรณีศาลปกครองรับฟ้องคำร้องของแพทยสภา เกี่ยวเนื่องกับโครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการโดยเภสัชกรร้านยา ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ต่อมา แพทยสภา ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง ความเข้าใจในกรณีการฟ้องศาลปกครองเกี่ยวเนื่องกับโครงการฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2567
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2567 สภาเภสัชกรรม ออกจดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 3 เรื่อง ชี้แจงกรณีแถลงการณ์แพทยสภา ระบุว่า
สืบเนื่องจากแถลงการณ์แพทยสภา เรื่อง ความเข้าใจในกรณีการฟ้องศาลปกครอง เกี่ยวเนื่องกับ โครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการโดยเภสัชกรร้านยา ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำให้สมาชิกเภสัชกรกังวลใจเป็นอย่างยิ่งในข้อมูลและทัศนคติดังกล่าว และอาจส่งผลต่อการทำงานร่วมกันของสหสาวิชาชีพในการร่วมดูแลประชาชนด้านยาและสุขภาพ
สภาเภสัชกรรม ขอเรียนเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. กระบวนการพิจารณาโครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการโดยร้านยาคุณภาพได้ผ่านกระบวนพิจารณาและกลั่นกรองหลายขั้นตอน โดยคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทั้งคณะอนุกรรมการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุข คณะอนุกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ คณะอนุกรรมการบริหารจัดการกองทุน คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย และในที่สุดเสนอคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนแพทย์ เภสัชกร และวิชาชีพอื่นๆ ภาคประชาสังคม ผู้ทรงคณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญจากสาขาอื่น ๆ จึงมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการในโครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการโดยเภสัชกรร้านยา ดังกล่าวนี้ โดยมีรายละเอียด แนวปฏิบัติที่รอบคอบเพื่อให้ความปลอดภัยแก่ประชาชนผู้รับบริการ โดยให้บริการตั้งแต่ 31 ตุลาคม 2565 จนถึง 21 พฤศจิกายน 2567 มีผู้รับบริการทั้งสิ้น 1,791,930 คน จำนวนครั้ง 4,985,145 ครั้ง ร้อยละ 90 อาการหายหรือทุเลาไม่พบกรณีที่ผู้เข้ารับบริการที่เกิดปัญหารุนแรง หรือเสียชีวิตแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ที่ได้รับการคัดกรองเบื้องต้นจากเภสัชกร มีบางส่วนได้รับการส่งต่อแพทย์ทันที ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพเบื้องต้น แนะนำการใช้ยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ และจากผลการสำรวจพบว่า ประชาชนที่เข้ารับบริการในโครงการนี้มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด
2. กระบวนการชักประวัติเพื่อจ่ายยาในการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เป็นมาตรฐานที่เภสัชกรให้การบริบาลต่อผู้ป่วยมาเป็นเวลานานมากกว่า 70 ปี (ตั้งแต่ พ.ศ. 2479) และเป็นไปอย่างถูกต้องและชอบธรรมตามพระราชบัญญัติยาและพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม จนเป็นที่ยอมรับของประชาชนเป็นการทั่วไป ซึ่งเดิมประชาชนเป็นผู้จ่ายค่ายาเอง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เห็นประโยชน์ของการบริบาลทางเภสัชกรรมดังกล่าว จึงได้บรรจุเป็นหนึ่งในสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนโดยใช้งบประมาณของ สปสช. ซึ่งงบประมาณดังกล่าวได้มาจากภาษีของประชาชน ในขณะที่ กรรมการแพทยสภาบางท่านได้มีการเผยแพร่ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า "การฟ้องร้อง สปสช.และสภามกสัชกรรมโดยแพทยสภา ไม่เกี่ยวกับการห้ามเภสัชกร จ่ายยา ตามบริบทเดิม แม้แต่น้อย" ซึ่งอาจดีความได้ว่า หากเป็นกรณีผู้ป่วยจ่ายเงินเอง แพทยสภาไม่ชัดข้อง แต่หาก สปสช. จ่ายค่าบริการแทนประชาชน ดังเช่นในโครงการฯนี้ แพทยสภากลับฟ้องร้องว่าไม่ปลอดภัย จึงทำให้มีข้อสังเกตว่า การฟ้องร้องดังกล่าว เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของประชาชน มากน้อยเพียงไร
3. สภาเภสัชกรรม ขอขอบพระคุณเพื่อนแพทย์ ที่ได้ให้กำลังใจเภสัชกรในฐานะ "ทีมสุขภาพ" ด้วยความเป็นมิตรและให้เกียรติซึ่งกันและกัน บนพื้นฐานของความเข้าใจในสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยที่มีความเหลือมลำ ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ โดยเฉพาะในอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ซึ่งเป็นความทุกข์ และบั่นทอนคุณภาพชีวิตของประชาชน์ผู้ด้อยโอกาส แต่เป็นการยากมากที่จะเข้าถึงแพทย์ และมีค่าใช้จ่ายสูงในการเดินทางเข้ารับบริการนี้ที่โรงพยาบาล ในขณะที่ต้องหาเช้ากินค่ำอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจร่างกายหรือส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการแต่สามารถที่จะชักถามเพื่อประเมินอันตรายโดยเภสัชกรซึ่งเป็นผู้ที่ร่ำเรียนด้านยาในด้านต่าง ๆ จากหลักสูตรการศึกษา 6 ปี ในคณะเภสัชศาสตร์ ทุกมหาวิทยาลัย ที่ได้รับการรับรองหลักสูตรจากสภาเภสัชกรรม และยังผ่านการอบรมในโครงการร้านยาคุณภาพอีกด้วย หากมีความเสี่ยงอันตรายที่จะเป็นโรคร้ายแรง เภสัชกรจะรีบส่งต่อไปให้แพทย์ดูแลโดยด่วนตามมาตรฐานวิธีปฏิบัติงานที่กำหนด โดยหากมันใจว่าเป็นเพียงอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เภสัชกรจะเลือกสรรยาที่ใช้ในการบรรเทาอาการและดูแลอาการเจ็บป่วย อย่างเหมาะสม รวมทั้งทำการติดตามผลการใช้ยาเพื่อให้มั่นใจว่า ประชาชนที่ได้รับบริการตามโครงการฯนี้ สามารถกลับไปประกอบอาชีพ หาเลี้ยงครอบครัวได้ซึ่งเท่ากับเป็นการกลั่นกรองผู้ป่วย เพื่อลดภาระงานบริการ เพื่อให้แพทย์สามารถใช้เวลากับผู้ป่วยในโรคที่มีความซับซ้อนมากขึ้นด้วย
4. สภาเภสัชกรรมเห็นด้วยว่า ผู้ประกอบวิชาชีพทกคนควรคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ และขอให้แพทยสภาพิจารณาถึงประเด็นความปลอดภัยในการใช้ยาให้ครอบคลุมทั้งระบบ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้ยามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลินิก ซึ่งส่วนใหญ่ยังพบว่า ฉลากยาไม่ระบุชื่อยาและรายละเอียดเกี่ยวกับยาที่จ่าย ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบและตรวจสอบย้อนกลับได้หากมีปัญหาการใช้ยาและไม่เป็นไปตาม ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง มาตรฐานการให้บริการของสถานพยาบาลเกี่ยวกับฉลากบรรจุยา พ.ศ. 2565 เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างแท้จริง อีกทั้งผู้ส่งมอบยาอาจเป็นผู้ที่มิได้มีความรู้เรื่องยา จึงขอให้ทางแพทยสภา พิจารณาการให้บริการในลักษณะดังกล่าวของคลินิกด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยของประชาชนด้านยาและสุขภาพ และเป็นไปตามมาตรฐานสูงสุด
สภาเภสัชกรรม ขอขอบคุณ เภสัชกร ที่ร่วมการแสดงความเห็นอย่างสร้างสรร รวมทั้ง หลายท่านยังเสนอแนวทางในการเพิ่มคุณภาพและความปลอดภัยจากการใช้ยาของประชาชน และขอขอบคุณเพื่อนแพทย์ หลายท่านที่แสดงความปรารถนาดีต่อประชาชนอย่างจริงใจ ด้วยการอาสาที่จะช่วย เพิ่มพนทักษะ ให้เภสัชกร ให้มีสมรรถนะในการคัดกรองและส่งต่อผู้ป่วยที่มีความเสียงอย่างรวดเร็วขึ้นตลอดจนการร่วมพัฒนาแนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยร่วมกันที่ชัดเจนระหว่างแพทย์และเภสัชกร
สภาเภสัชกรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แพทยสภา จะเปิดใจ "หยุดและทบทวน" " ตลอดจนร่วมแลกเปลี่ยนความคิด รับฟังความเห็นและความรู้สึกของประชาชน ร่วมกันสร้างความสามัคคีและการทำงานร่วมกันของภาคีสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อย่างยั่งยืน
สุดท้ายนี้ สภาเภสัชกรรม พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับแพทยสภาในการหาทางออกที่เหมาะสม บนพื้นฐานของความเข้าใจร่วมกัน การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตามจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานร่วมกันของวิชาชีพ โดยอยู่บนพื้นฐานที่สำคัญที่สุด คือ ประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนอย่างแท้จริง