ผู้เสียหายกว่า 10 คน รวมตัวร้องสภาผู้บริโภค หลังเจ้าของคลินิกเสริมความงามอ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญฉีดฟิลเลอร์เกินจนหน้าพัง พบมีเหยื่อจำนวนมาก-หน้าผิดรูป ค้นหลักฐานพบไม่ใช่หมอเฉพาะทาง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า จากกรณีสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียน จากผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการฉีดฟิลเลอร์เกินกว่าที่ตกลงไว้ ส่งผลให้หน้าเบี้ยวผิดรูป นอกจากนี้ ยังพบผู้เสียหายเกือบ 10 คน ที่ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน
เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2567 นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรผู้บริโภค เปิดเผยกรณีที่ผู้บริโภคได้เข้าร้องเรียนเนื่องจากถูกนายแพทย์ วัชพล หรือหมอเมฆ แอบอ้างเป็นหมอเฉพาะทางทำการฉีดฟิลเลอร์เกินกว่าที่ตกลงไว้ ส่งผลให้หน้าเบี้ยวผิดรูปว่า เรื่องคลินิกไม่ได้มาตรฐานที่มีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียน คลินิกหมอเมฆ นั้น เบื้องต้นได้มีการดำเนินการตรวจสอบข้อมูลและพบว่าน่าจะเข้าข่ายการกระทำผิดหลายข้อหาด้วยกัน ทั้งในส่วนของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม
นอกจากนี้ พอไปสืบค้นข้อมูลของนายแพทย์ วัชพล จากแพทยสภาแล้วยังพบว่าเป็นแพทย์ที่จบตามหลักสูตรแพทยศาสตร์ทั่วไปเท่านั้นไม่ได้เป็นแพทย์เฉพาะทางตามที่กล่าวอ้าง และโฆษณาตามสื่อต่างๆ ซึ่งข้อมุลเหล่านี้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบเองได้อีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ หลังมีการร้องเรียนพบว่ามีผู้เสียหายเพิ่มเกือบ 10 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท โดยสภาองค์กรผู้บริโภคได้ทำหนังสือแจ้งกรมสนับสนุนการบริการทางการแพทย์ เพื่อดำเนินการเอาผิดทั้งในแง่แพทย์ผู้ดำเนินการและทางธุรกิจ
“ไม่ใช่ความผิดแค่เรื่องของการแอบอ้าง เรายังพบว่ามีการนำยาสลายไขมันใช้ทาภายนอกนำมาใช้ฉีด ซึ่งน่าจะเข้าหลักกฎหมายวิชาชีพสถานพยาบาล และวิชาชีพเวชกรรมด้วย อันนี้จะนำข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงดำเนินคดีต่อไป ทั้งในส่วนของแพทยสภา และการดำเนินคดีทางอาญา” นายภัทรกร กล่าว
ด้าน ทพญ.เกศริน ชัฎสุนทร ตัวแทนผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนเข้ารับบริการที่คลินิกย่านบรรทัดทองพร้อมกับแม่และพี่สาว โดยดูจากการโฆษณาและรีวิวตามสื่อออนไลน์ ซึ่งดูแล้วมีความน่าเชื่อถือจึงเข้าไปทำการปรึกษา ซึ่งได้รับคำตอบจากแพทย์ท่านนี้แนะนำให้ฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ 15 หลอดทั่วใบหน้า ซึ่งมากกว่าที่เคยได้รับคำแนะนำที่ 4 หลอด แต่ก็ได้รับการยืนยันว่าสามารทำได้
“ที่เชื่อถือเพราะว่ามีการโฆษณาว่าเป็นแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งเราอาจไม่มีความรู้มากพอ และจากคำยืนยันที่หมอท่านนี้บอกด้วยว่าเขาเป็นมือหนึ่งด้านนี้และสามารถทำได้แต่ที่อื่นไม่สามารทำได้” ทพญ.เกศริน กล่าว
สุดท้ายแล้วตนจึงตัดสินใจรักษาตามคำแนะนำของหมอท่านนี้ โดยมีการตกลงกันว่าจะทำการฉีดฟิลเลอร์ทั้ง 3 คน คือ ตนเอง พี่สาว และคุณแม่ ซึ่งเบื้องต้นจะฉีดให้ตนเอง 15 เข็ม พี่สาว 11 เข็ม และคุณแม่ 30 เข็ม อย่างไรก็ตาม เมื่อทำการรักษาจริงกลับพบว่าคุณหมอฉีดฟิลเลอร์เกินจำนวนกว่าที่ตกลงกันไว้ คือตนเอง 22 เข็ม พี่สาว 18 เข็ม และคุณแม่ 37 เข็ม
“ตอนเราถูกฉีดไม่ได้นับและอยู่ในภาวะจำนนในการรักษา โดยไม่ทราบจำนวนเลยว่าระหว่างนั้นฉีดไปเท่าไรแล้ว แต่สุดท้ายยังต้องมาจ่ายเงินรวมกัน 3 คนอีกกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งเมื่อฉีดไปแล้วทำให้ใบหน้าผิดรูป ไม่เท่ากัน บิดเบี้ยว เกิดความเสียหาย ซึ่งไม่ใช่แค่เรา แต่ยังพบว่ามีผู้เสียหายอีกหลายคนด้วย” ทพญ.เกศริน กล่าว
ทพญ.เกศริน กล่าวว่า ตอนนี้หลังทราบว่าหมอท่านนี้ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางแต่มาทำการรักษา มีผู้เสียหายเคยไปร้องเรียนแล้ว และตนก็อยากให้แพทยสภาเร่งดำเนินการ เพราะถ้าขั้นตอนล่าช้าไปกว่านี้ก็อาจทำให้มีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีความผิดค่อนข้างชัดเจนแล้ว และตอนนี้ทางคลินิกก็ยังมีการโฆษณาชวนเชื่อในลักษณะเดิมอยู่
“เราอยู่ในวงการแพทย์ที่เป็นแพทย์จริงๆและมีจริยธรรม และจากที่เห็นโฆษณาว่าเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังจริงๆทำให้เราหลงเชื่อ เพราะเราเป็นทันตแพทย์ไม่ใช่หมอเฉพาะทางเราก็เลยเชื่อ และนี่ก็มีผู้เสียหายที่ถูกกระทำแบบเดียวกันด้วย” กล่าว
พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ แพทย์ผู้ชำนาญการศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า กล่าวว่า อยากให้ประชาชนเข้าใจหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตที่เรียนกัน 6 ปีจบมาเป็นแพทย์ทั่วไป และในหลักสูตรนี้ไม่มีการสอนเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม หรือการฉีดฟิลเลอร์ มีเพียงแค่การสอนทำหัตถการ เจาะเลือด ฉีดยา ซึ่งหากจะเพิ่มพูนทักษะควรจะต้องมีการศึกษาด้านแพทย์เฉพาะทางซึ่งมีแพทยสภารับรอง เพราะต้องมีอาจารย์ที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์สูงคอยสอน
อย่างไรก็ตาม ในบางสถานการณ์การรักษาด้านเฉพาะทางอาจเกิดขึ้นได้แต่ก็ควรที่จะเป็นเหตุการณ์จำเป็นเช่นคลอดบุตร หรือแม้กระทั่งการรักษาคนไข้ที่เป็นเด็ก การรับการรักษาจากแพทย์เด็กเฉพาะทางก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแพทย์ทั่วไป
“มันมีหลักสูตรศัลยกรรมพลาสติก ศัลยกรรมเฉพาะใบหน้า ซึ่งควรต้องอบรมทักษะ ซึ่งแพทย์ต้องรู้ว่าขอบเขตที่เรียนมาของตนเองอยู่แค่ไหน และอะไรที่ไม่ควรทำการรักษาเพราะมันจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคนไข้ร่วมด้วย” พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์กล่าว