ศูนย์ประสานอาชญากรรมไซเบอร์อินเดียเผยเดือน ม.ค.66-ก.พ.67 ชาวอินเดียตกเป็นเหยื่ออาชญากรไซเบอร์ ฐานปฏิบัติการที่ไทย-กัมพูชา-ลาว คิดเป็นมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท และ ตร.ทมิฬนาฑูแจงมีเหยื่ออินเดียตกค้างอีก 1,285 คน พบส่วนมากเดินทางด้วยเหตุผลต้องการหางาน-การศึกษา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์สแกมเมอร์ที่เกียวข้องกับประเทศไทยว่าเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ศูนย์ประสานงานอาชญากรรมไซเบอร์ของอินเดียหรือ I4C ได้รายงานข้อมูลว่านับตั้งแต่เดือน ม.ค.2566 - ก.พ.2567 พบว่าอาชญากรฉ้อโกงทางออนไลน์ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่ไทย,ลาวและกัมพูชาสามารถดึงเงินไปได้ถึง 1.018 แสนล้านรูปี (40,405,281,984 บาท) จากเหยื่อที่เป็นชาวอินเดีย
ในการแถลงข่าวร่วมกับตำรวจจากรัฐทมิฬนาฑู พบว่าเหยื่อจากอินเดีย รวมถึงรัฐทมิฬนาฑู ถูกนําตัวไปยังประเทศเหล่านี้ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวและถูกควบคุมตัวในสถานที่ดำเนินกิจกรรมฉ้อโกงที่มีรั้วกั้น จากนั้นพวกเขาถูกบังคับให้ทําการฉ้อโกงทางไซเบอร์ เช่น การหลอกลวงส่งของ FedEx การหลอกลวงการลงทุน แอปให้กู้ยืมที่ผิดกฎหมาย การหลอกลวงการแต่งงาน และโรแมนซ์สแกม
โดยเมื่อมาถึง หนังสือเดินทางของเหยื่อถูกบังคับยึด และพวกเขาถูกทารุณกรรม เช่น การทําร้ายร่างกาย การทรมาน และช็อตไฟฟ้า หากพวกเขาปฏิเสธที่จะทํางาน มีการเรียกร้องค่าไถ่เพื่อปล่อยตัว เพื่อทําให้เหยื่อสามารถกลับประเทศบ้านเกิดได้ อย่างไรก็ตาม เหยื่อบางรายสามารถหลบหนีจากสถานที่ดำเนินกิจกรรมหลอกลวงเหล่านี้ได้ และสถานทูตอินเดียในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้จัดเตรียมเอกสารการเดินทางเพื่อให้เหยื่อสามารถกลับมาได้
ตํารวจทมิฬนาฑูได้ดําเนินการต่อต้านกิจกรรมการค้าทาสทางไซเบอร์นี้และรวบรวมรายละเอียดของผู้คน 1,285 คนที่ยังไม่ได้กลับประเทศบ้านเกิดหลังจากถูกหลอกให้เดินทางไปยังประเทศเหล่านี้ ข้อมูลนี้ถูกแบ่งปันโดย I4C หลังจากการประชุมกับหน่วยงานจากทุกรัฐ
จากบุคคลที่ยังตกค้าง 1,285 คน พบว่า 1,155 คนเดินทางด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางไซเบอร์ เช่น เหตุผลทางการศึกษาหรือการจ้างงาน อีก 246 คนที่ได้กลับมาและไม่ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนใด ๆ เนื่องจากพวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตามตัว 114 คนจากรายชื่อบุคคลซึ่งคาดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวกับกิจกรรมฉ้อโกง
การสืบสวนเพิ่มเติมพบว่านอกเหนือจากการค้ามนุษย์แล้ว มิจฉาชีพยังลักลอบนําซิมการ์ดที่เปิดใช้งานไว้ล่วงหน้าและบัญชีธนาคารที่ใช้งานอยู่ในนามของประชาชนทั่วไปเพื่อดำเนินกิจกรรมการหลอกลวงในกัมพูชาและลาว อาชญากรใช้บัญชีธนาคารของอินเดียในการแบ่งชั้นเงินหลอกลวง ซึ่งต่อมาเงินเหล่านี้ถูกแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัลและโอนไปยังประเทศบ้านเกิดของอาชญากรรายนั้น