‘ทักษิณ ชินวัตร’ ตรวจหลักฐานคดีหมิ่นสถาบันฯ ลั่นไม่กังวล ชี้เป็นการใช้กฎหมายกระชับอำนาจหลังปฏิวัติ ด้านศาลนัดสืบพยาน 7 นัดภายในเดือน ก.ค. 2568
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2567 ศาลอาญานัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดีย (The ChosunMedia) ของเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนายทักษิณได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยตีราคาประกัน 5 เเสนบาทกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
โดยในวันนี้มีทีมทนายความประมาณ 6-7 คนมาศาล ต่อมาเวลา 08.53.น. นายทักษิณเดินทางมาศาล สวมเสื้อสีเหลืองใส่สูทดำคลุมทับ พร้อมกล่าวก่อนขึ้นห้องพิจารณาคดีว่าไม่มีความกังวล เป็นคดีที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติใหม่ๆเป็นการใช้กฎหมายกระชับอำนาจ ส่วนเรื่องพยานเป็นเรื่องทนายความ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าที่ใส่เสื้อสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์อะไรหรือไม่ นายทักษิณไม่ได้ตอบ เดินห้องขึ้นพิจารณา
ในส่วนการรักษาความปลอดภัยของศาลอาญาจะเป็นไปตามปกติ เเละกำชับเรื่องอัตรากำลังในวันนั้น มีการขอกำลังเสริมจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 และเจ้าพนักงานตำรวจศาลมาเพื่ออำนวยความสะดวกในกรณีที่มีมวลชนเข้าในพื้นที่ ในเบื้องต้นศาลอาญาจะไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังการพิจารณาคดี เเต่จะจัดพื้นที่ไว้ตรงบริเวณบันไดหน้าอาคารจุดเดิม ส่วนรายละเอียดข่าวอาจจะมีการทำเอกสารข่าวเเจก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา นายทักษิณ ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไปยังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) ระหว่างวันที่ 1-16 ส.ค.2567 เพื่อพบแพทย์เเละมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคน ศาลมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องเเละมีคำสั่งในวันที่ 30 ก.ค. ไม่อนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกประเทศยกคำร้อง
ต่อมาเวลา 11.33 น.ภายหลังตรวจพยานหลักฐาน นายทักษิณได้เดินทางกลับ โดยก่อนกลับได้โค้งเคารพพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงก่อนเดินทางกลับด้วยสีหน้ายิ้มเเย้มโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่มารอทำข่าว
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า วันนี้ได้มีการสอบคำให้การของจำเลย โดยนายทักษิณให้การปฏิเสธพร้อมกับนำเสนอพยานหลักฐาน ประกอบไปด้วยพยานฝ่ายบุคคลฝ่ายโจทก์ 10 ปากใช้เวลา 3 นัด ฝ่ายจำเลยจำนวน 14 ปาก ใช้เวลา 4 นัด โดยฝ่ายโจทก์ไม่อ้างประจักษ์พยานเลยเเม้เเต่ปากเดียว ฝ่ายจำเลยอ้างล่ามเเปลภาษา ชาวเกาหลีที่พูดภาษาไทยได้ เเต่จะนำมาเบิกความจริงหรือไม่ต้องดูทางโจทก์ว่าติดใจสืบพยานปากนี้เเค่ไหน ภาระการพิสูจน์คดีอาญาอยู่ที่ฝ่ายโจทก์ ส่วนจะต้องนำมาหรืออาจจะใช้วิธีทางไกลผ่านจอภาพก็สามารถทำได้เเล้วในปัจจุบัน โดยทางฝ่ายจำเลยจะมีพยานปากที่เป็นบุคคลสำคัญเป็นนักกฎหมายมาเบิกความ นายทักษิณไม่ได้หนักใจตนก็ไม่หนักใจ การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานอยู่ที่ศาล ก็ทำหน้าที่ให้ดีทั้งโจทก์เเละจำเลย
นอกจากนี้ ยังมีพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามคลิปที่ปรากฏในระบบคอมพิวเตอร์ โดยนายวิญญัติยืนยันว่า คลิปที่มีการส่งตรวจตั้งแต่แรก เป็นการรวบรวมจากระบบอินเทอร์เน็ตลงในแผ่นซีดี ไม่ใช่หลักฐานจากสถานที่จริง เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบคลิปที่เป็นประเด็นยืนยันว่าคลิปดังกล่าวไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ถึงความเป็นต้นฉบับ การตัดต่อและการแปลความเป็นภาษาไทยก็ไม่สมบูรณ์ ในเรื่องนี้มีภาษาอังกฤษเพียงคำเดียวที่เป็นปัญหาและนำไปสู่การกล่าวหานายทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับที่ตนเองเคยแถลงก่อนหน้านี้ว่า หลักฐานของฝ่ายโจทก์เป็นเพียงเพียงการรวบรวมคลิป
สำหรับเรื่องคลิปที่ไม่ได้มาจากต้นฉบับจะนำมาเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยได้อย่างไรนั้นยังไม่สามารถลงรายละเอียดในเวลานี้ได้ หลังจากนี้จะเป็นการพิสูจน์ความจริงต่อศาล ขึ้นอยู่กับศาลจะรับฟังพยานหลักฐานและมีคำวินิจฉัยอย่างไร อย่างไรก็ตามมองว่าเรื่องนี้ นายทักษิณถูกกระทำจากระบบการกล่าวหา ซึ่งตนเองมองว่าระบบการกล่าวหาของประเทศไทยยังมีปัญหา หากมีโอกาสก็ควรมีการแก้ไข
สำหรับการสืบพยานหลังจากนี้มีทั้งหมด 7 นัด โดยฝ่ายโจทก์นัดในวันที่ 1-3 ก.ค. 2568 นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยจะสืบพยานในวันที่ 15, 16, 22 และ 23 ก.ค. 2568 หลังจากนั้นศาลจะจัดทำคำพิพากษาต่อไป ซึ่งคดีเริ่มต้นเดือน ก.ค.ปีหน้าเเละเชื่อว่าศาลชั้นต้นตัดสินภายในปีนั้นอยู่เเล้ว เเต่จะมีการอุทธรณ์ ฎีกาต่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งที่มีการนัดสืบพยานในปีหน้านั้นเนื่องจากศาลอาญาเป็นศาลใหญ่ รับคดีทั่วราชอาณาจักร มีคดีจำนวนมาก ต้องนัดสืบพยานไปตามลำดับของคดี เเต่คดีนี้เป็นการนัดคดีต่อเนื่อง ส่วนจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ตนเองไม่มีความเห็น
เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายจำเลยจะขอยื่นสืบพยานลับหลังหรือไม่
นายวิญญัติกล่าวว่า ในขณะนี้ยังไม่มี ซึ่งได้รับการยืนยันจากทักษิณว่าท่านพร้อมที่จะมาสืบพยานทุกนัด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวเองและพิสูจน์ว่าที่ผ่านมาไม่มีเจตนาที่จะก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และพร้อมที่จะได้แสดงความจงรักภักดีเพื่อให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งประชาชนคนไทยก็เห็นได้อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้หากศาลอนุญาตให้มีการสืบพยานลับหลัง ท่านอาจจะไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง
เมื่อถามว่านายทักษิณจะมีกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศอีกหรือไม่นั้น นายวิญญัติ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา และในการต่อสู้คดีนี้ นายทักษิณมีความมั่นใจ ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ กรณีที่เอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณในการรักษาตัวที่ชั้น 14 นั้น นายวิญญัติกล่าวว่า นายทักษิณ ไม่ได้กังวล ซึ่งตนเองขอยืนยันว่า นายทักษิณป่วยจริง และตนเองก็เป็นทนายเพียงคนเดียวที่ไปเยี่ยมนายทักษิณ และตัวนายทักษิณก็อยู่ชั้น 14 จริง
ผู้สื่อข่าวถามว่าหาก ป.ป.ช. เรียกนายทักษิณ ไปให้ปากคำ เจ้าตัวจะพร้อมเข้าให้ข้อมูลหรือไม่
นายวิญญัติ ระบุว่า อยู่ที่ว่านายทักษิณเกี่ยวอะไร เพราะนายทักษิณไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช. จะพิจารณาว่าคดีมีมูลหรือไม่มีมูล และจะไต่สวนนายทักษิณหรือไม่ แต่หากมีการไต่สวนนายทักษิณก็ยินดี เพราะนายทักษิณกลับเข้ามาในประเทศ บอกว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามกติกาของสังคม โดยเฉพาะกฎหมาย ไม่เช่นนั้นนายทักษิณคงไม่เข้าสู่กระบวนการ
ในส่วนคดีที่ยื่นฟ้อง นายแพทย์วรงค์ เดชนุกรม ประธานพรรคไทยภักดี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และดูหมิ่นด้วยการโฆษณา รวม 2 ข้อหา กรณีพาดพิงเรื่องถุงขนม 2 พันล้านศาลนัดไต่สวน 30 ก.ย.เป็นนัดเเรก ยังไม่มีการไกล่เกลี่ยซึ่งนายทักษิณประสงค์จะดำเนินคดีถึงที่สุด