ป.ป.ช. เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา 'ชยพล หรือสุรศักดิ์ เทียมมณีรัตน์' พวกอดีตนายก อบต.บ้านไทร บุรีรัมย์ แก้ไขข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 47 จัดซื้อจ้างเบิกจ่ายเงินมิชอบ ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาลงโทษ จำคุก 171 ปี 88 ด. รับสารภาพลดเหลือ 85 ปี 94 ด. แต่ติดจริงไม่เกิน 50 ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นายนันตพงษ์ สังสมมา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ กับพวก แก้ไขข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 และดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและเบิกจ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยมิชอบ ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมีมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 147, 151 , 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 91 (มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ได้ขาดอายุความแล้ว) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2563
โดยผลคำพิพากษาคดีส่วนนี้ ปรากฏชื่อ นายชยพล หรือสุรศักดิ์ เทียมมณีรัตน์ เป็นจำเลยเพียงคนเดียว
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 มีคำพิพากษาว่า นายชยพล หรือสุรศักดิ์ เทียมมณีรัตน์ จำเลยมีความผิดตามมาตรา 151 (เดิม) 17 กระทง ตามมาตรา 147 (เดิม), 151 (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 รวม 22 กระทง การกระทำของจำเลย เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามมาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 85 ปี ฐานสนับสนุน เจ้าพนักงาน จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 66 ปี 88 เดือน
รวมจำคุก 171 ปี 88 เดือน
จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 78 คงจำคุก 85 ปี 94 เดือน
แต่เมึ่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกจำเลยไม่เกิน 50 ปี ตามมาตรา 91 (3)
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2567 ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3
อย่างไรก็ดี คดียังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา 151 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐเทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท