เลขา ก.พ.ค.ตร. คาด 1-2 สัปดาห์ได้ผลวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งให้ 'บิ๊กโจ๊ก' ออกจากราชการ หลังวันนี้เรียก 'บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่าย' เข้าชี้แจง ก่อนลงมติเสียงข้างมาก เผยขั้นตอนหาก 'บิ๊กโจ๊ก' ไม่เห็นด้วย สามารถร้องศาลอุทธรณ์ได้ภายใน 90 วัน ขณะบิ๊กโจ๊กหอบหลักฐานชี้แจง มั่นใจความบริสุทธิ์ตัวเอง ยอมรับถ้าผลวินิจฉัยเป็นลบจะไปฟ้องศาลปกครอง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่สำนักงานตำรวจเเห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.อนุชา รมยะนันทน์ ผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) เปิดเผยว่า ก.พ.ค.ตร. ได้เรียก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เข้าชี้แจงด้วยวาจาปมอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการชั่วคราวที่ลงนามโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ขณะที่ดำรงแหน่งรักษาราชการแทน ผบ.ตร. โดยวันนี้เป็นการประชุมพิจารณาคำอุทธรณ์ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ที่ยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร.กรณีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยมองว่าเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งคาดว่าผลการวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. น่าจะออกมาได้ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังจากนี้
พล.ต.ท.อนุชา กล่าวต่อถึงกระบวนการว่าจะต้องเชิญ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)โดยตำแหน่งมาให้ถ้อยคำด้วยวาจา แต่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เข้าชี้แจงเนื่องจากเป็นผู้ลงนามคำสั่งก่อนหน้านี้ทางคณะกรรมการฯจึงแจ้งให้คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายมาดำเนินการชี้แจงอุทธรณ์เพิ่มเติมด้วยวาจากับกรรมการเจ้าของสำนวนซึ่งเห็นว่าพยานหลักฐานเพียงพอต่อการวินิจฉัยและนำไปสู่การนัดพิจารณาได้แล้วที่ประชุมจึงต้องการเปิดโอกาสให้ 2 ฝ่ายแถลงด้วยวาจา และยื่นเอกสารประกอบคำแถลง
โดยรูปแบบ คือ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเข้าห้องวินิจฉัยเพื่อชี้แจงต่อหน้ากรรมการ ก.พ.ค.ตร.ทั้ง 6 คนพร้อมกันแต่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีสิทธิโต้แย้งกันเอง ซึ่งคณะกรรมการจะรับฟังเหตุผลทีละฝ่ายและให้อีกฝ่ายฟังไปด้วยในเวลาเดียวกัน เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนส่วนนี้ทางคณะกรรมการฯจะนำสำนวนหลักฐานที่ทำไว้เสร็จแล้วประกอบกับการให้ถ้อยคำพิจารณาร่วมกันโดยจะสรุปผลวินิจฉัยในรอบการประชุมซึ่งจะมีทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดีของทุกสัปดาห์
พล.ต.ท.อนุชา กล่าวอีกว่า เมื่อได้ข้อสิ้นสุดคำวินิจฉัยทางคณะกรรมการฯจะส่งผลทั้ง 2 ฝ่ายให้รับทราบก่อนที่จะมีการแถลงให้สาธารณะชนรับทราบ ส่วนจะส่งให้นายกรัฐมนตรีรับทราบหรือไม่ต้องพิจารณาว่าทางสำนักนายกรัฐมนตรีได้เรียกขอเอกสารส่วนนี้หรือไม่ หากผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯออกมาเป็นลบ(คำสั่งออกจากราชการชอบด้วยกฎหมาย)ต่อ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ สามารยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 90 วันหลังทราบผลเพื่อขอให้คุ้มครองสถานะการเป็นตำรวจชั่วคราว แต่ในทางกลับกันหากผลเป็นบวก(คำสั่งออกจากราชการมิชอบด้วยกฎหมาย)ต่อ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ คำสั่งออกจากราชการ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีการเพิกถอนและ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะกลับมารับตำแหน่งดังเดิม สิทธิประโยชน์คงเดิมรวมทั้งได้เป็นแคนดิเดตในการคัดเลือก ผบ.ตร.ในประเด็นว่าผลวินิจฉัย ก.พ.ค.ตร. จะเสร็จสิ้นทันการคัดเลือกผบ.ตร.เดือนกันยายนนี้หรือไม่
พล.ต.ท.อนุชา กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับการลงมติผลครั้งนี้ของคณะกรรมการฯ จะมาจากการลงเสียงข้างมากไปในทิศทางเดียวกัน โดยเบื้องต้นวันนี้ (30 ก.ค.) ทั้ง 2 ฝ่ายยืนยันว่าจะเดินทางมาชี้แจงกับคณะกรรมการฯด้วยตนเอง
ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ได้เดินเข้าเข้าชี้แจงด้วยวาจา ก.พ.ค.ตร. กรณีการอุทธรณ์คำสั่งโดยกล่าวว่า ได้เตรียมหลักฐานเอกสารมาต่อแสดงต่อคณะกรรมการฯ ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถทำให้คณะกรรมการฯเข้าใจในส่วนของคำร้องอุทธรณ์ที่ได้ยื่นไว้ ทั้งนี้ ไม่ได้หนักใจหรือกังวลต่อการให้ถ้อยคำทางวาจาที่จะต้องพบคู่กรณีซึ่งหน้า เพราะทุกอย่างได้ชี้แจงและยื่นพยานหลักฐานมาหมดแล้ว
พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยอมรับว่า ไม่ได้มาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4-5 เดือนแล้ว ส่วนการเปลี่ยนชื่อด้วยการเพิ่ม ‘ช.ช้าง’ ในชื่อจริงนั้น ทำเพื่อความเป็นสิริมงคลของตัวเอง ส่วนที่ถูกมองว่าเป็นแมว 9 ชีวิต และจะมีชีวิตที่10 หรือ 11 หรือไม่ จะให้สัมภาษณ์หลังพบคณะกรรมการฯแล้ว
ต่อมาในช่วงเย็น พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว หลังจากที่ชี้แจง ก.พ.ค.ตร.เป็นเวลา 2 ชั่วโมง โดยกล่าวว่าหลังจากนี้หากผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการเป็นไปในทิศทางลบหรือบวกก็พร้อมน้อมรับ แต่หากผลเป็นลบหลังจากนี้ก็จะใช้ สิทธิ์ยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้ ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสถานะการเป็นตำรวจ และพิจารณาเพิกถอนคำสั่งให้ออกจากข้าราชการไว้ก่อน โดยจะฟ้องร้องในทุกประเด็นตามที่กฎหมายให้สิทธิ์ แต่ยังไม่สามารถยื่นต่อศาลปกครองได้จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมา ย้ำว่าหากผลออกมาในทิศทางบวกตนเองก็จะสามารถกลับไปรับราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ และจะไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีกับใครทั้งสิ้นตามที่ได้เคยกล่าววาจาไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบกรอบระยะเวลาการวินิจฉัยของคณะกรรมการ แต่ทางคณะกรรมการจะส่งผลการวินิจฉัยไปยังภูมิลำเนา และจะเป็นผู้รับด้วยตนเอง ส่วนผลการพิจารณาจะแล้วเสร็จก่อนการพิจารณาเสนอชื่อเพื่อคัดเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ในเดือนกันยายนนี้หรือไม่
นั้นไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับ ก.พ.ค.ตร.
สำหรับบรรยากาศในการชี้แจงด้วยวาจากับคณะกรรมการตลอด 2 ชั่วโมงในวันนี้ ตนรับว่าได้พบพล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. คู่กรณี แต่ไม่ได้มีการไหว้ทักทาย พูดคุยหรือสบตากัน เนื่องจากต่างคนต่างชี้แจง ส่วนทางคณะกรรมการไม่มีข้อซักถามเพิ่มเติม เนื่องจากมีหน้าที่รับฟังเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยอมรับว่าตลอด 4-5 เดือนที่ผ่านมารู้สึกคิดถึงตร. แต่ส่วนตัวยังไม่มั่นใจว่าจะได้กลับหรือไม่ ตอนนี้ ให้ความสำคัญกับเรื่องจะได้กลับหรือไม่เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นยังไม่คิดถึง โดยเฉพาะเรื่องที่มีโหรทำนายว่าในช่วงเดือนสิงหาคมจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ และมีกระแสข่าวว่าตนเองจะได้เป็นรัฐมนตรีคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ก็ยังไม่ทราบข่าว
เช่นเดียวกับกรณีการเปลี่ยนชื่อ โดยการเพิ่ม ช.ช้างเข้าไปอีกตัว ก็เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องจากอาจารย์ท่านนี้เคยทักตนเองไว้นานแล้วตั้งแต่ตอนที่ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพียงแต่ตอนนั้นตนเองไม่มีโอกาส ส่วนชื่อและความหมายยังคงเหมือนเดิม