ตำรวจเผยเหตุ 6 ชาวเวียดนามเสียชีวิตกลางโรงแรมเอราวัณ คาด 1 ใน 6 เป็นคนวางยา ต้นเหตุจากปัญหาหนี้สิน-หลอกร่วมลงทุนธุรกิจอสังหาฯที่เวียดนาม ด้านรอง ผบช.น.แถลงย้ำ ตอนแรกกลุ่มชาวเวียดนามจะนัดเคลียร์ปัญหากันที่ญี่ปุ่น แต่ติดปัญหาเรื่องวีซ่า เลยมาไทยแทน ขณะนิติเวช จุฬาฯแถลงยืนยันทั้ง 6 ศพมีสารไซยาไนด์
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวกรณีพบ 6 ศพ ชาวต่างชาติ ซึ่งมีสัญชาติเวียดนาม 4 คน และชาวเวียดนามสัญชาติอเมริกัน 2 คน ถูกวางยาเสียชีวิตในห้องพัก ภายในโรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ ซึ่งผลชันสูตรเบื้องต้นจากแพทย์นิติเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พบว่า 2 ใน 6 ศพ มีสารไซยาไนด์
โดยในช่วงเวลา 15.00 น. ที่ตึกนิติเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, รศ.นพ.กรเกียรติ วงศ์ไพศาลสิน หัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ และผอ.ศูนย์อำนวยการชันสูตรพลิกศพ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง(ผบก.พฐก.)และ พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (ผบก.น.5) ร่วมกันแถลงผลชันสูตรศพชาวเวียดนามทั้ง 6 ราย
รศ.นพ.กรเกียรติ กล่าวว่า ทางศูนย์อำนวยการชันสูตรพลิกศพชันสูตรพลิกศพทั้งหมด 6 ศพ ซึ่งเป็นหญิง 3 ราย ชาย 3 ราย โดยพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล พิสูจน์เอกสารหลักฐานซึ่งตรงกับสภาพศพที่ได้รับและเก็บภาพหลักฐานผู้เสียชีวิต เก็บตัวอย่างจากผู้เสียชีวิต ประกอบด้วยเลือด ปัสสาวะ น้ำวุ้นในลูกตา เพื่อนำไปพิสูจน์หาสาเหตุการตายร่วมด้วย รวมถึงซีทีสแกนเพื่อหาร่องรอยการถูกทำร้าย
เบื้องต้น ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายในทุกราย แต่พบอวัยวะภายในพบการคั่งเลือดในปริมาณมาก ทีมแพทย์ประเมินว่าทุกรายมีระยะเวลาการเสียชีวิตมาประมาณ 12-24 ชั่วโมง โดยประเมินจากการตรวจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังการตาย ทั้งการคลายตัวของกล้ามเนื้อ, การตกสู่เบื้องต่ำของเม็ดเลือดทุกศพมีลักษณะสอดคล้องกัน
จากการตรวจผ่าแยกร่างพบว่าทั้ง 6 รายทุกรายมีร่องรอยการขาดอากาศ คือริมฝีปากเป็นสีม่วงเข้ม ปลายเล็บมือมีสีม่วง การตกสู่เบื้องต่ำของเม็ดเลือดพบเม็ดเลือดมีสีแดงสด อวัยวะมีสีแดงสดซึ่งบ่งชี้อย่างหนึ่งได้ว่าอาจมีการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการขาดอากาศหายใจที่เกิดจากสารพิษร่วมด้วย ทำให้ทีมชันสูตรตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ทุกรายเสียชีวิตจากสารไซยาไนด์ ทำให้เกิดการขาดอากาศในระดับเซลล์ของอวัยวะที่สำคัญ คือระบบประสาทและหัวใจ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุการตายของผู้เสียชีวิตทุกราย แต่จะมีปริมาณเท่าใด และมีสารประกอบอื่นๆที่ส่งเสริมฤทธิ์ด้วยหรือไม่นั้นต้องรอผลการตรวจเลือดเพื่อยืนยันอีกครั้ง คาดว่าจะทราบผลในวันที่ 19 ก.ค.นี้ และคาดว่าจะทราบผลภาพรวมทั้งหมดใน1-2 สัปดาห์
โดยไม่สามารถระบุได้ว่าใครเสียชีวิตก่อนหลัง หรือชักเกร็งก่อนตายหรือไม่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงหลังการตายนั้นมีปัจจัยรบกวนหลายอย่างเช่น อุณหภูมิ ระยะเวลาจึงอาจมีความคลาดเคลื่อน
ผลการตรวจสอบพบว่าทุกศพมีเศษอาหารคงเหลืออยู่ในกระเพาะแตกต่างกัน บางรายอาหารย่อยไปมากแล้วแต่บางศพยังไม่ย่อยเท่าที่ควร แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอาหารชนิดใดบ้าง ซึ่งข้อมูลนี้ทางแพทย์จะบันทึกลงผลการชันสูตรแบบละเอียด
ส่วนการตรวจสอบสารไซยาไนด์ที่พื้นผิวอื่น ๆ ของศพนั้นเป็นเรื่องยากยอมรับว่าแพทย์ตรวจเฉพาะไซยาไนด์ในเลือด จึงยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีไซยาไนด์ติดที่อวัยวะภายนอกของบุคคลใดใน 6 ราย หลังจากนี้จะตรวจภายนอก
ด้าน รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวว่า เบื้องต้นจากลักษณะที่ตรวจพบทั้งภายนอกและอวัยวะภายในไม่พบว่ามีปัจจัยอื่นๆที่เป็นเหตุให้เสียชีวิตนอกจากสารไซยาไนด์ ต้องรอผลตรวจอวัยวะภายในเชิงลึกเพื่อหาสารบางอย่างเพิ่มเติม แต่เบื้องต้นหากได้รับสารไซยาไนด์ในปริมาณเกิน 3 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 cc. หรือรับในปริมาณมากผ่านการกินดื่ม จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหงื่อออกชักเกร็ง เพราะขาดออกซิเจนในสมองเฉียบพลัน ก่อนเสียชีวิต
พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวถึงที่มาของสารไซยาไนด์ว่า ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานไว้สองประเด็นคือ เตรียมการนำเข้ามาก่อนเข้าประเทศไทย หรือหาซื้อในประเทศ ผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งสั่งการให้ตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.ที่กลุ่มผู้เสียชีวิตเริ่มเดินทางเข้าประเทศไปจนถึงวันที่ 12 ก.ค. และยอมรับว่าขณะเดินทางผ่าน ตม.ไม่สามารถตรวจหาสารเหล่านี้ได้ รวมถึงไม่สามารถยืนยันว่าผู้ใดคือผู้นำเข้าต้องรอการสืบสวนให้เสร็จสิ้นชัดเจนก่อน
สำหรับขั้นตอนหลังจากชันสูตรแล้ว ตำรวจจะรอรายงานผลการชันสูตรจากทางแพทย์เพื่อนำไปประกอบในสำนวน ส่วนครอบครัวที่ติดต่อติดต่อมารับศพ มีเพียงครอบครัวของคู่สามีภรรยาที่มาสอบปากคำที่ สน. ลุมพินี วันนี้
สำหรับความคืบหน้าของคดีนี้ตลอดช่วงวันนี้ (17 ก.ค.) พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบก.สส.บช.น.) เปิดเผยผลการสอบสวนคดีว่า จากการ สอบปากคำญาติของผู้ตาย มีเป็นหนี้สินเกิดขึ้นหลักหลายล้านบาท และคาดว่าทำให้เสียชีวิตจากประเด็นนี้ ส่วนจะประเด็นนี้อย่างเดียวหรือไม่ ต้องตรวจสอบและยืนยันคนที่ทำให้เสียชีวิตคือ 1 ในกลุ่มคนตาย
"คาดว่าผู้ก่อเหตุเป็น 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต เพราะการสอบปากคำแม่บ้าน พนักงานของโรงแรมแล้ว ไม่พบพิรุธและแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้" พล.ต.ต.ธีรเดชกล่าว
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังให้ข้อมูลผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คนเพิ่มเติมว่า สำหรับการรับประทานอาหารมื้อดังกล่าวที่โรงแรมเอราวัณ พบว่ามีการจองมา 7 คน แต่เช็คอิน 5 คน แต่พบศพ 6 ราย (เนื่องจากเป็นสามี - ภรรยากัน) ทางสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบ หาเบาะแสบุคคลที่ 7 พบแล้ว คาดว่า เป็นน้องสาวของ 1 ใน 6 คนที่เสียชีวิต ตอนนี้ได้ทราบชื่อทั้งหมด 7 คนแล้ว และคนที่ 7 คนนี้ ได้บินกลับประเทศไป ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เบื้องต้น สันนิษฐานว่าน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต
มีรายงานอีกว่า การเสียชีวิตในครั้งนี้ เกิดจากบุคคล 1 ใน 6 ที่เสียชีวิต เป็นผู้กระทำให้คนวางยาทั้งหมด ก่อนจะเสียชีวิตเป็นรายสุดท้าย โดยมีสาเหตุมาจากปัญหาหนี้สินที่มีการหลอกให้ร่วมลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจก่อสร้าง
ทั้งนี้จากการสอบปากคำญาติพบว่ามีเป็นหนี้สินเกิดขึ้นหลักหลายล้านบาท และคาดว่าทำให้เสียชีวิตจากประเด็นนี้ ส่วนจะประเด็นนี้อย่างเดียวหรือไม่ ต้องตรวจสอบยืนยันคนที่ทำให้เสียชีวิตคือ 1 ในกลุ่มคนตาย
ในประเด็นธุรกิจและหนี้สินนั้น จากข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ผู้ตายทั้ง 6 คน มีความเกี่ยวข้องกันทางธุรกิจอสังหาริมทรัย์ในประเทศเวียดนาม และมีการลงทุน และยืมเงินกันแต่ไม่ได้คืน โดน มีข้อสันนิษฐานว่า 1 ใน 6 ของผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ ก่อนจบชีวิตตัวเองลงในห้องที่เกิดเหตุ
ต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. พล.ต.ต.นพศิลป์ ได้แถลงถึงกรณีดังกล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งหมดที่ได้ทำการตรวจสอบตรวจศพทั้งหมด 6 รายภายในห้องพักเลข 502 ในโรงแรมดังกล่าว จะขออธิบายรายละเอียดบุคคลเป็นหมายเลข โดยหมายเลข 1 พบศพตรงประตูทางเข้าเป็นผู้หญิงสวมเสื้อสีขาว, หมายเลข 2 สวมเสื้อสีชมพูนอนอยู่ในห้องนอน, หมายเลข 3 เป็นผู้ชาย สวมเสื้อสีเทานอนเสียชีวิตข้างโต๊ะอาหารระหว่างทางเข้า , หมายเลข 4 เป็นผู้ชายนอนใกล้กันกับหมายเลข 1 ที่หน้าประตู, หมายเลข 5 เป็นผู้หญิงนอนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว และหมายเลข 6 นอนเคียงข้างอยู่กับหมายเลข 2
พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ซึ่งได้ตรวจสอบการเดินทางเข้าออกและประวัติการเข้าพักที่โรงแรมดังกล่าวปรากฏว่า หมายเลข 1 ผู้หญิงสัญชาติเวียดนามสวมเสื้อสีขาว อายุ 46 ปี เดินทางเข้า ประเทศไทยครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 ก.ค. เดินทางจากเมืองโฮจิมินห์โดยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ถึงกรุงเทพเวลา 13.48 น. เมื่อถึงแล้วเดินทางเข้าเช็คอินห้องพักเลขที่ 502 (ห้องที่เกิดเหตุ) ต่อมาวันที่ 13 - 14 ก.ค.ได้มีการย้ายไปที่ห้อง 708 และในวันที่ 15 ก.ค. จึงเช็คเอาท์ออกจากห้อง 708 และลากกระเป๋ามารวมกันอยู่ที่ห้อง 502
หมายเลข 2 เป็นผู้หญิงสัญชาติเวียดนามใส่เสื้อสีชมพูนอนอยู่ในห้องนอน อายุ 47 ปี พบว่าเคยเดินทางเข้าออกไทยทั้งหมด 17 ครั้ง โดยวันที่ 4 ก.ค. ได้เดินทางมาที่ประเทศไทย ในเวลาประมาณ 12.56 น. และวันที่ 12 -13 ก.ค. เข้ามาพักโรงแรมดังกล่าวที่ห้องเลขที่ 1215 และได้มีการย้ายไปอยู่ห้อง 709 ในวันที่ 14-15 ก.ค. และเช็คเอาท์ออกมารวมตัวกันที่ห้อง 502
หมายเลข 3 เป็นชายสัญชาติเวียดนาม อายุ 37 ปี ใส่เสื้อสีเทาพบว่ามีการเดินทางเข้าประเทศไทยมาทั้งหมด 11 ครั้ง โดยวันที่ 12-13 ก.ค. ได้เข้ามาเช็คอินที่ห้อง 1219 และวันที่ 14 -15 ก.ค. ได้มีการย้ายมาห้อง 726 และทำการเช็คเอาท์มารวมตัวกันอยู่ที่ห้อง 502
หมายเลข 4 เป็นผู้ชายที่สัญชาติอเมริกัน อายุ 55 ปี ใส่เสื้อสีกรมท่านอนเสียชีวิตอยู่ใกล้กับหมายเลข 1 พบว่ามีการเดินทางเข้ามามายังประเทศไทยเพียงครั้งเดียว ในแรกวันที่ 7 ก.ค. เวลา 09.55 และเช็คอินวันที่ 12 -13 ก.ค. ห้อง 1212 และวันที่ 14 -15 ก.ค. ย้ายไปห้อง 727 และเช็คเอาท์มารวมตัวที่ห้อง 502
หมายเลข 5 เป็นผู้หญิงสัญชาติอเมริกันอายุ 56 ปี เคยเข้าประเทศไทยมาแล้ว 5 ครั้ง โดยในวันที่ 5 ก.ค. ได้เดินทางเข้ามาไทยในเวลา 13.05 น. และเข้าเช็คอินที่ห้อง 504 ในวันที่ 12 ก.ค. และวันที่ 13 ก.ค. อยู่ห้อง 808 และวันที่ 14 - 15 ก.ค. อยู่ห้อง 502 และพบศพในวันที่ 16 ก.ค. ที่ห้องดังกล่าว
หมายเลข 6 ชายสัญชาติเวียดนาม อายุ 49 ปี มีการเข้าเมืองไทยเป็นครั้งเเรกวันที่ 12 ก.ค. เวลา 13.48 น. ซึ่งบุคคลนี้ทางโรงแรมไม่พบการเช็คอินในระบบการเข้าพัก และจากการตรวจสอบข้อมูลจากญาติคือสามีของหมายเลข 1 ซึ่งเดินทางเข้ามาพร้อมกัน
เพราะฉะนั้นสรุปไทม์ไลน์การเข้าประเทศไทยของทั้ง 6 รายได้ดังนี้ หมายเลข 2 มีการเดินทางเข้ามาที่ไทยวันแรกคือวันที่ 4 ก.ค. จากนั้นพบว่าหมายเลข 5 เข้ามาไทยวันที่ 5 ก.ค. และวันที่ 7 ก.ค. มีหมายเลข 4 เดินทางเข้ามาไทย และวันที่ 12 ก.ค. หมายเลข 1 กับ 6 ที่เป็นคู่สามีภรรยาได้เดินทางเข้าไทยรวมกับ หมายเลข 3 ด้วย
พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับบุคคลที่ 7 ที่มีการจองโรงแรมล่วงหน้าแต่ไม่มีการเข้าพักนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเป็นน้องสาวของหมายเลข 2 โดยเข้ามาพร้อมกันในวันที่ 4 ก.ค. และปรากฏว่าทางบุคคลที่ 7 ได้เดินทางกลับไปที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ก่อนแล้วในวันที่ 10 ก.ค. จึงยืนยันได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุพบว่าผู้เสียชีวิตมีการมาเช็คอินที่โรงแรมดังกล่าวแต่ละคนด้วยตัวเอง และเข้าที่พักตามห้องที่นำเรียนไป ไม่มีผู้อื่นผู้ใดแปลกปลอมเข้าไปพักร่วมด้วย
พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า ในวันที่ 16 ก.ค. ช่วงเวลา 16.30 น. พนักงานโรงแรมได้เข้าไปตรวจสอบห้อง 502 เนื่องจากเลยเวลาเช็คเอาท์ แต่กลับพบว่าห้องดังกล่าวมีการล็อกจากข้างใน จึงได้ให้รปภ. เข้าไปดูจากทางข้างหลังห้องพักที่ไม่มีการล็อก จึงพบศพทั้งหมด 6 รายดังกล่าว
ทั้งนี้ จากการสอบถามพนักงานในโรงแรมยืนยันว่า ในวันที่ 15 ก.ค. ผู้เข้าพักในห้อง 502 ได้สั่งอาหารจำนวนหนึ่ง คือ ข้าวผัด 5 จาน ต้มยำกุ้ง 4 จาน ผัดผักรวม 4 จาน ผัดผักบุ้ง 1 จาน และชา 2 กระติก พร้อมแก้วน้ำชา 6 ใบ หลังจากนั้นได้สั่งอาหารเพิ่มรอบที่ 2 คือ ข้าวผัดเพิ่มเติมอีก 1 จาน และกำชับให้นำมาส่งที่ห้องในเวลา 14.00 น. โดยพนักงานโรงแรมได้นำอาหารชุดแรกเข้าไปส่งที่ห้องในเวลา 13.51 น. โดยนำอาหารใส่ในถัง พร้อมด้วยชุดกระติน้ำร้อน ชา แก้วน้ำ วางไว้บนโต๊ะภายในห้อง และพบผู้หญิงหมายเลข 5 อยู่ภายในห้องเพียงคนเดียวเป็นผู้รับอาหาร ซึ่งพนักงานได้เสนอจะชงชาให้แต่ผู้หญิงคนดังกล่าวปฏิเสธ แจ้งว่าจะทำเองและมีสีหน้าที่เคร่งเครียด
พนักงานจึงได้ออกจากห้อง ในเวลา 13.57 น. รวมที่อยู่ในห้องทั้งหมดประมาณ 6 นาที ยืนยันว่า หลังจากเวลา 13.57 น. ในห้องที่เกิดเหตุมีหมายเลข 5 อยู่เพียงคนเดียว หลังจากนั้นในเวลา 14.17 น. ผู้เสียชีวิตอื่นๆได้ทยอยนำกระเป๋าเดินทางมาไว้ที่ห้องดังกล่าวและได้เข้าไปในห้องดังกล่าว หลังจากนั้น ภาพจากกล้องวงจรปิดไม่พบว่ามีผู้ใดเดินออกมาจากห้องอีก ขณะที่ผลการตรวจสอบสาร เบื้องต้นพบว่าในแก้วน้ำชาทั้ง 6 ใบมีสารไซยาไนด์ จึงเชื่อว่า 1 ใน 6 ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ โดยใช้สารดังกล่าวแต่จะนำเข้ามาหรือซื้อในประเทศไทยนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้ทางนิติเวชอยู่ระหว่างรอผลชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียด รวมถึงผลการพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ และลายนิ้วมือDNAคาดว่าจะทราบผลในช่วงบ่ายของวันที่ 17 ก.ค. นอกจากนี้ยังได้ประสานสถานทูตสหรัฐอเมริกาและสถานทูตเวียดนาม และฝ่ายความมั่นคงของเวียดนามตรวจสอบข้อมูลของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 รายแล้ว ไม่พบหมายแดงติดตัวใคร เพราะฉะนั้นคดีดังกล่าวนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลทั้ง 6 ราย ไม่เกี่ยวกับการที่มีแก๊งค์หรือองค์กรอาชญากรรมใดๆที่จะมาก่อเหตุในเมืองไทย
ทั้งนี้ จากการสอบถามข้อมูลจากญาติทราบว่า ในกลุ่มผู้เสียชีวิตมีผู้ที่เป็นสามีภรรยาประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถนนในประเทศเวียดนามซึ่งได้ ร่วมลงทุน สร้างโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น คิดเป็นเงินไทยมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท ตามที่ผู้หญิงหมายเลข 5 ได้ชักชวน แต่ไม่มีความคืบหน้า ซึ่งที่ผ่านมามีการทวงถามอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้จึงได้มีการนัดหมายให้ไปเคลียร์กันที่ประเทศญี่ปุ่นแต่ติดขัดเรื่องการขอวีซ่าจึงเปลี่ยนมาเป็นประเทศไทย โดยวันนี้จะสอบปากคำญาติ 3-4 คนเพิ่มเติม