วงเสวนาเจาะลึก ข้อดีข้อเสีย 3 แนวทาง ของอนุกรรมาธิการกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า แนะคง กม.ห้ามนำ ลดอัตราการสูบ-เข้าถึงของเด็กเยาวชนไทยได้ หมอเผยผลกระทบไอบุหรี่ไฟฟ้าลดสมรรถภาพปอด-พัฒนาการเรียนรู้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ได้จัด งานเสวนาสื่อ เรื่อง “เจาะลึก ข้อดีข้อเสีย 3 แนวทาง ของอนุกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย” เพื่อให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน ถึงข้อดีข้อเสียในการที่จะกำหนดมาตรการต่างๆ ในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้กรรมาธิการฯทราบถึงข้อเท็จจริง และพิจารณาอย่างรอบคอบในเรื่องนี้ คำนึงถึงผลกระทบของประชาชน ปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยบุหรี่ไฟฟ้า
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพ ไอบุหรี่ไฟฟ้าที่สูบเข้าไปจะทำให้เยื่อบุระบบการหายใจอักเสบ ตั้งแต่จมูก คอหอย หลอดลมลงไปจนถึงถุงลมปอด เซลล์จะอายุสั้น ซึ่งทำให้สมรรถภาพปอดถดถอย เร่งให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง เสี่ยงต่อมะเร็งปอดและมะเร็งในทุกอวัยวะ ไอบุหรี่ไฟฟ้ามีน้ำมันและสารเคมีกว่า 7,000 ชนิด ทำให้เสี่ยงเกิดปอดอักเสบเฉียบพลัน EVALI (E-cigarette or Vaping product use associated Acute Lung Injury) ถึงตายได้อย่างเฉียบพลัน
ทั้งนี้ บุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิดมีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติด มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัว สร้างสารอักเสบ และมีอนุมูลอิสระทำให้เซลล์ผิดปกติ จึงเป็นอันตรายต่อร่างกายทุกระบบ ไม่ควรนำมาใช้ทดแทนบุหรี่มวน และไม่แนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือในการเลิกบุหรี่
รศ.นพ.ชัยยศ คงคติธรรม ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า นอกเหนือจากพิษภัยเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่แล้วบุหรี่ไฟฟ้ายังส่งผลกระทบต่อสมองของเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลและเป็นปัญหาที่ทุกฝ่ ายจะต้องให้ความสนใจ เนื่องจากวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาของสมองในการกำหนดความเป็นตัวตน การตัดสินใจ การควบคุมแรงกระตุ้น การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาต่างๆ อย่างมีเหตุผลและเป็นระบบเพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
การได้รับนิโคติน โดยเฉพาะจากบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งมักจะมีนิโคตินในปริมาณที่สูงกว่าบุหรี่มวนหลายเท่าตัว จะกระทบต่อการทำงานของสารสื่อประสาทในสมองที่สำคัญต่อกระบวนการเรียนรู้ของวัยรุ่น นอกจากนั้นนิโคตินยังมีอำนาจในการเสพติดสูง
สมองของวัยรุ่นเรียนรู้ได้เร็วจึงมีความเสี่ยงต่อการติดนิโคตินสูงกว่าผู้ใหญ่ และยังกระตุ้นให้เป็นประตูสู่ยาเสพติดอื่นๆ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองในระยะยาว ยิ่งกว่านั้นในแต่ละช่วงของพัฒนาการเด็กยังช่วยตนเองไม่ได้ จึงเสี่ยงต่อการได้รับไอบุหรี่ไฟฟ้ามือสองและมือสามมากกกว่าผู้ใหญ่
“ซึ่งถ้าหากปล่อยให้มีการตลาดล่าเหยื่อมุ่งเป้าเด็กเล็กและซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเสรี จะมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนอย่างมาก ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการเกิดลดน้อยลง หากยังได้รับผลกระทบต่อการพัฒนาของสมองจากบุหรี่ไฟฟ้า จะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สำคัญต่อการพัฒนาสมองและสุขภาพในระยะยาวของอนาคตของชาติ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องปกป้องเด็กและเยาวชนเป็นพิเศษจากภัยบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเร่งด่วน” รศ.นพ.ชัยยศ กล่าว
ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวยการ ศจย. ได้วิเคระห์ ข้อดีข้อเสียของ 3 แนวทาง ของมาตรการด้านกฎหมายเพื่อควบคุมกำกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ดังนี้
แนวทางที่ 1 การกาหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย (แบนบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาด)
ข้อดี
1) กฎหมายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันทั้ง 3 ฉบับ เป็นกฎหมายที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยและของโลก ที่มีการเพิ่มจำนวนประเทศที่แบนเป็น 40 ประเทศ อย่างรวดเร็ว
2) ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสารเสพติด และเป็นช่องทาง (gateway) นำไปสู่การใช้สารเสพติดอื่นๆ
3) สามารถป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อไม่ให้เข้าสู่การเสพติดนิโคติน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องได้รับการปกป้อง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
จากประสบการณ์ของต่างประเทศที่พบว่าประเทศที่แบนจะมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนต่ำกว่าประเทศที่ไม่แบน
แนวทางการพัฒนาแก้ไข
1) กลไกการบังคับใช้กฎหมายยังไม่เต็มประสิทธิภาพ ควรมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จากประเทศที่แบน และบังคับใช้กฎหมายอย่งเข้มงวดจนควบคุมการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าได้ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และบราซิล
2) การสร้างความตระหนักเกี่ยวกับโทษพิษภัยอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายและขาดความต่อเนื่อง ดังนั้นภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้รุ่นใหม่แบบดิจิตอล อย่างมีส่วนร่วมเพื่อให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย
3) มาตรการรองรับการบำบัดรักษาผู้เสพติดนิโคตินจากบุหรี่ไฟฟ้ายังไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน ควรพัฒนารูปแบบการให้บริการที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ เข้าถึงผู้บริการ ทุกรูปแบบ ทุกเวลา ในราคาที่สมเหตุสมผล
4) การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการประเมินต้นทุนผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้ายังมีไม่เพียงพอ ในระยะสั้นควรใช้การทบทวนวรรณกรรมจากการวิจัยของต่างประเทศ
แนวทางที่ 2 คงกฎหมายห้ามนาเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ยกเว้น Heat not burn Tobacco Product (HTP)
ข้อดี
1) HTP เป็น Electronic Nicotine Delivery Device ชนิดที่เป็น solid คือ นำใบยาสูบมาหั่นฝอยโดยจะใช้ความร้อนจากอุปกรณ์มากกว่า 300 องศาเซลเซียส แต่ไม่เกิน 600 องศาเซลเซียสเหมือนการเผาไหม้บุหรี่ทั่วไป
2) มีการเผาไหม้เป็นไอ ไม่มีเถ้า ไม่มีควัน (น้ำมันดิน) ไม่มีน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ใช้ใบยาสูบซึ่งให้นิโคตินธรรมชาติ
ข้อเสีย
1) ยังคงมีนิโคติน ผลิตภัณฑ์ HTP จะต้องมีคำเตือนว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีนิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติด และองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ยังไม่อนุญาต ซึ่งผู้ผลิต IQOS ก็ยอมรับว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่ได้ลดความเสี่ยงเมื่อเปลี่ยนมาใช้ HTP
2) HIP นิยมทำเป็น hybrid เลือกชนิดที่เป็น stick หรือ e-juice ได้ ในผลิตภัณฑ์เดียวจึงไม่สามารถแยกแยะว่าเป็น E- cig หรือ HTP
ดังนั้น แนวทางที่ 2 จึงไม่แตกต่างจาก แนวทางที่ 3
แนวทางที่ 3 ยกเลิกกฎหมายห้ามนาเข้าบุหรี่ไฟฟ้า
ข้อดีที่กล่าวอ้าง
1) ทันสมัย เทียบเคียงได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว
2) จะได้ควบคุมอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนไทย
3) จัดเก็บรายได้จากการเก็บภาษีได้เพิ่ม
4) เป็นการให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกเสพ
ข้อเท็จจริง
1) ในประเทศที่เคยแบน แล้วควบคุมได้ดี เปลี่ยนมาเป็นอนุญาตให้ขายได้ เกิดการระบาดเพิ่ม 2-5 เท่า เช่น แคนาดา นิวซีแลนด์
2) ในประเทศที่อนุญาตให้ขายได้ถูกกฎหมาย โดยห้ามขายในเยาวชน 18-21 ปี ยังระบาดหนักในเยาวชน เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และแคนาดา
3) งานวิจัยจาก 75 ประเทศ พบว่า ประเทศที่แบนจะมีอัตราการระบาดของเยาวชนต่ำกว่าประเทศที่ไม่แบน
4) บุหรี่มวนที่ถูกกฎหมาย ก็ยังควบคุมไม่ได้ มีบุหรี่เถื่อนหนีภาษีถึงร้อยละ 25 (1.3–2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี)
5) ข้อกล่าวอ้างที่ว่าการยกเลิกแบน จะสามารถจัดเก็บภาษีให้แก่รัฐ ซึ่งมีงานวิจัยที่ได้รับทุนจากธุรกิจบุหรี่ ประเมินว่าจะมีรายได้จากบุหรี่ไฟฟ้า 5.7-6.4 พันล้านบาทต่อปี และจะเก็บภาษีได้ 567-913 ล้านบาทต่อปี อีกงานวิจัยเสนอให้เก็บภาษีตามอังกฤษจะได้ ร้อยละ 5-20 ของมูลค่า ซึ่งทั้ง 2 งานวิจัยนี้มีข้อท้วงติงเรี่องความถูกต้องทางระเบียบวิธีวิจัย
ส่วนทางการยาสูบแห่งประเทศไทยประเมินมูลค่าทางตลาดของบุหรี่ไฟฟ้าเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งมีข้อท้วงติงว่า อาจจะจัดเก็บภาษีไม่ได้สูงดังประเมิน เนื่องจากผู้สูบหน้าเก่าไม่ได้ซื้อเพิ่ม เป็นแต่เปลี่ยนจากซื้อบุหรี่มวนมาซื้อบุหรี่ไฟฟ้า โดยหากรัฐต้องการรายได้เพิ่ม ต้องเพิ่มผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าหน้าใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนอนาคตของชาติ และอาจกระทบกับชาวไร่ยาสูบ เพราะบุหรี่ไฟฟ้าใช้นิโคตินสังเคราะห์ ไม่ใช่จากใบยาสูบ รวมทั้งต้องเผชิญกับบุหรี่ไฟฟ้าหนีภาษีเหมือนเดิม ทั้งนี้ยิ่งขายมากก็ยิ่งต้องเจ็บป่วยจากบุหรี่มากขึ้น ดังงานวิจัยจาก UCSF ที่พบว่าค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลโรคที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่สูงเป็น 1,666 เท่าของภาษีที่จัดเก็บได้
6) ข้อกล่าวอ้างว่าเป็นการให้สิทธิเสรีภาพของผู้บริโภค ข้อกล่าวอ้างนี้อาจใช้ได้กับสินค้าทั่วไป ที่ไม่ใช่สินค้าท าลายสุขภาพ 4 อย่างรวมบุหรี่ (Commercial Determinants of Health ) ที่สุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่รัฐต้องปกป้องประชาชน โดยเฉพาะผู้ไม่สูบ (ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่) ที่ได้รับผลกระทบจากบุหรี่มือสองมือสาม และสิ่งสำคัญยิ่งคือ เด็กที่ต้องได้รับการปกป้อง ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
นอกจากนี้ สิทธิเสรีภาพนี้ยังรอนสิทธิ์ค่ารักษาโรคที่เกิดจากบุหรี่จากภาษีของคนไทยทั้งประเทศ และรอนสิทธิ์ทำลายสิ่งแวดล้อมของคนทั้งโลก
"สรุปข้อดีข้อเสียของ 3 แนวทางของกรรมาธิการฯ ว่า แนวทางที่ 1 การคงกฎหมายห้ามนำเข้าและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จะสามาถลดอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนไทยลงได้ แนวทางที่ 2 และ 3 ข้อดีไม่ชัดเจน แต่จะทำให้อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนระบาดมากขึ้น" ศ.พญ.สุวรรณา กล่าว