‘รมว.คลัง’ ขอ ครม. เลื่อนวาระเพื่อทราบ ‘ผลการศึกษาฯ-แนวทาง’ ยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษี ‘ร้านค้าปลอดอากรขาเข้า’ พร้อมเผย ‘ผู้ประกอบการ’ ยินดีหยุดการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีฯ จนกว่ารัฐบาลจะมีการยกเลิกนโยบาย
...................................
จากกรณีเมื่อวันที่ 28 พ.ย.2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักการการดำเนินมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้ง 'คลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า' รวมถึงการยกเว้นอากรของที่ซื้อจากร้านค้าปลอดอากรสำหรับผู้โดยสารขาเข้า เพื่อส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าภายในประเทศ นั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้มีการเสนอวาระ เรื่อง แนวทางการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย ให้ที่ประชุม ครม. รับทราบ อย่างไรก็ตาม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เสนอให้ ครม.เลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปก่อน ซึ่ง ครม.พิจารณาแล้ว และลงมติเห็นชอบให้เลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปได้
ทั้งนี้ ผลจากการที่กระทรวงการคลังขอถอนผลการศึกษาผลกระทบและแนวทางการยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้าและการยกเว้นอากรของที่ซื้อจากร้านค้าปลอดอากรสำหรับผู้โดยสารขาเข้าดังกล่าว ทำให้ผู้ที่ซื้อสินค้าจากร้านค้าปลอดอากรขาเข้าที่สนามบินนานาชาติ ได้แก่ 1.ของที่ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซื้อเพื่อใช้เองเป็นการส่วนตัว หรือใช้ในวิชาชีพ ราคารวมกันไม่เกิน 2 หมื่นบาท
2.บุหรี่ปริมาณไม่เกิน 200 มวน หรือชิการ์หรือยาเส้น ปริมาณไม่เกินอย่างละ 250 กรัม หรือหลายชนิดรวมกันปริมาณไม่เกินสองร้อยห้าสิบกรัม แต่ทั้งนี้ บุรี่ต้องมีปริมาณไม่เกิน 200 มวน และ 3.สุราปริมาณไม่เกิน 1 ลิตร ยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับการซื้อสินค้าดังกล่าวที่ร้านค้าปลอดอากรขาเข้าเหมือนเดิม
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับวาระเพื่อทราบ เรื่อง แนวทางการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย ที่ กระทรวงการคลัง เสนอให้ ครม.รับทราบ นั้น ประกอบด้วย 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.เสนอให้ ครม.รับทราบแนวทางการหยุดการดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้าของผู้ประกอบการ ดังนี้
กระทรวงการคลังได้พิจารณาจากข้อกฎหมายแล้ว ประกาศกรมศุลกากร ที่ 44/2561 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข เกี่ยวกับคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากร (ประกาศกรมศุลกากรฯ) มีการบัญญัติเกี่ยวกับการระงับสิทธิการประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรตามข้อ 21 ที่ได้กำหนดเกี่ยวกับการพักใช้และการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ในกรณีที่ผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาต ไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 กฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับ หรือเงื่อนไขในการอนุญาต โดยมิได้บัญญัติเกี่ยวกับการสั่งระงับสิทธิในกรณีอื่นๆ ไว้
อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ภายหลังจากที่ ครม. ได้มีมติเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2566 ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรทั้ง 3 ราย ได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากร โดยยินดีที่จะหยุดการดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้าตามนโยบายของรัฐบาล จนกว่ารัฐบาลจะมีการยกเลิกนโยบายดังกล่าวข้างต้น
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว เห็นว่ากรณีผู้ประกอบการมีความยินดีในการหยุดดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับหลักการที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดจะแปลงวงเงินใช้จ่ายในร้านค้าปลอดอากรขาเข้า มาหมุนเวียนใช้จ่ายในประเทศได้ โดยไม่ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อยกเลิกการอนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า
@หยุดให้สิทธิประโยชน์ภาษี 1 ปี กระตุ้นใช้จ่ายในประเทศ
2.เสนอให้ ครม. รับทราบผลประโยชน์และผลกระทบของการหยุดการดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้าที่กระทรวงการคลังได้ศึกษาไว้ในเบื้องต้น คือ
-ผลต่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น และมีการกระจายการใช้จ่ายและการบริโภคสินค้าและบริการภายในประเทศอย่างกว้างขวาง โดยหากมีการหยุดการดำเนินการจำหน่ายสินค้าในร้านค้าปลอดอากรขาเข้า 1 ปี คาดว่าจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่อคนต่อทริป เพิ่มขึ้นประมาณ 570 บาท
-ผลต่อการใช้จ่ายของผู้เดินทางชาวไทย
ผู้เดินทางชาวไทยอาจจะเลือกใช้จ่ายซื้อสินค้าปลอดอากรจากประเทศต้นทางเพื่อทดแทน หรือใช้จ่ายซื้อสินค้าประเภทเดียวกันในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยขึ้นกับปัจจัยในการตัดสินใจที่แตกต่างกัน
-ผลต่อผู้ประกอบการภายในประเทศ
ผู้ประกอบการคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากร จะมีการสูญเสียรายได้อากรขาเข้าส่วนของการจำหน่ายสินค้าในร้านค้าปลอดอากรขาเข้า อย่างไรก็ดี ประเมินว่า หากมีการหยุดการดำเนินการจำหน่ายสินค้าในร้านค้าปลอดอากรขาเข้าเป็นระยะเวลา 1 ปี คาดว่าจะส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องในภากการท่องเที่ยว ตลอดจนร้านค้าทั่วไป เสมือนได้รับเม็ดเงินหมุนเวียนใหม่เพิ่มเติมสูงสุด 3,460 ล้านบาทต่อปี เป็นการสร้างโอกาสและส่งผลเชิงบวกต่อการผลิต การลงทุน และการจ้างานได้ต่อไป
-ผลต่อรายได้ของกาครัฐ
เม็ดเงินหมุนเวียนมีการกระจายสู่ผู้ประกอบการร้านค้าในวงกว้างเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้เกิดการขยายฐานการชัดเก็บภาษีของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม
-ผลกระทรบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
กรณีที่มีการหยุดดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรค้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้าเป็นระยะเวลา 1 ปี กระทรวงการคลังคาดว่าจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.012 ต่อปี