ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุกร้อยตำรวจเอกหญิง 125 ปี ติดคุกจริง 50 ปี แม้มีเหตุบรรเทาโทษลดเหลือ 1 ใน 3 สั่งชดใช้เงินให้ สตช. 2.7 แสนบาท หลังพบผิดจริงคดีเบียดบังเงินประกันตัวผู้ต้องหา ไม่ยอมฝากเข้าธนาคาร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 30 พ.ค. เวลา 9.00 น. ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลางได้อ่านคำพิพากษาให้จำคุกร้อยตำรวจเอกหญิงจิรัฏฐ์อร หรือจิรัฎฐ์อร ภาคทรัพย์ ในคดีเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต รวม 25 กระทง เป็นกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 125 ปี ทางนำสืบของจำเลยมีประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38 คงจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน คงจำคุก 75 ปี 100 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วโทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 50 ปี พร้อมให้ชดใช้คืนเงินค่าเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นเงิน 270,000 บาท
สำหรับรายละเอียดของคำพิพากษานั้น เป็นคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อท 112/2566 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อท 99/2567 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 โจทก์ กับร้อยตำรวจเอกหญิงจิรัฏฐ์อร จำเลย
โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยขณะดำรงตำแหน่งรองสารวัตรธุรการ สถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง ได้รับการแต่งตั้งคณะกรรมการเก็บรักษาเงิน รับเงินประกันตัวผู้ต้องหาจำนวน 25 กรรมแล้ว แต่ไม่ได้นำเงินเข้าฝากธนาคารเป็นเงินรวม 720,000 บาท ต่อมามีการตรวจสอบระบบการเงินพบว่าเงินสูญหายระหว่างที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย และจำเลยยินยอมนำเงินคืน 450,000 บาท จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสุู้ว่าแม้เป็นการผิดระเบียบแต่ไม่ได้มีเจตนาทุจริต
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ เมื่อพนักงานสอบสวนนําเงินประกันตัวผู้ต้องหามาส่งมอบให้จำเลย จำเลยมีหน้าที่นําเงินฝากเข้าบัญชี หรือให้เจ้าหน้าที่การเงินอื่นฝากแทนได้ โดยในวันที่ได้รับเงินนั้น กรณีที่ไม่สามารถฝากทันภายในวันนั้น ให้รวบรวมเงินเก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัยที่สถานีตำรวจนั้นก่อน แล้วนำฝากในวันที่ธนาคารเปิดทำการวันแรกตามระเบียบกระทรวงการคลัง
โดยต้องนําใบรับฝากเงินที่ธนาคารออกให้มาลงบัญชีคุมการนําฝากเพียงผู้เดียว และต้องทำการสรุปยอดรายวันซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลย แล้วเสนอผู้กํากับการเพื่อตรวจสอบลงลายมือชื่อรับรอง และนํามาเก็บไว้ที่ห้องการเงิน แต่ปรากฏว่าไม่มีการนําฝากเข้าบัญชีธนาคาร มีพยานพบเห็นธนบัตรปึกเงินประมาณ 200,000 บาท ที่จำเลยเก็บไว้ในตู้เหล็กที่ห้องทำงานเป็นเวลานาน
เมื่อตรวจสอบพบโดยสำนักตรวจสอบภายในและสำนักตรวจเงินแผ่นดินว่าเงินขาดหายและนำเข้าไม่ตรงวันและตรงจำนวน จำเลยจึงนำเงินเข้าบัญชีในภายหลัง การกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังเงินดังกล่าวไปเป็นของตนเองโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือของผู้อื่นโดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำจึงเป็นความผิดตามฟ้อง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147
ศาลอาญาจึงได้พิพากษาให้จำคุกจำเลย และให้ชดใช้เงิน 270,000 บาทแก่ สตช.