จนท.คุมตัว 'จักรภพ เพ็ญแข' สอบปากคำคดีอั้งยี่-ครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย ทนายแจงขอให้ว่าตามกฎหมาย ล่าสุดได้ประกันตัวแล้วด้วยวงเงิน 4 แสนบาท ส่วนเจ้าตัวยังไม่รับผิด ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอาวุธไม่-ไม่ได้อยู่ไทยช่วงเกิดเหตุ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 28 มี.ค. เวลา 9.30 น. เจ้าหน้าที่กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามได้คุมตัวนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ผู้ต้องหาในคดี “ร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และเป็นอั้งยี่” จาก สนามบินสุวรรณภูมิเดินทางมายังกองปราบปราม เพื่อสอบปากคำตามขั้นตอนกฎหมาย ก่อนที่ในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น.เจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้นายจักรภพประกันตัวใน 2 คดีด้วยวงเงิน 4 แสนบาท
ทันทีที่มาถึงเจ้าหน้าที่ได้พา นายจักรภพหลบสื่อมวลชน โดยขับรถรถตู้ไปจอดที่บริเวณด้านหลัง ระหว่างอาคารกองปราบปราม และอาคารจอดรถ ก่อนพาขึ้นลิฟท์อาคารจอดรถขึ้นไปชั้น 2 ซึ่งมีทางเชื่อมเข้าสู่อาคารกองปราบปราม
ต่อมา นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความส่วนตัวของนายจักรภพ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาว่า ครอบครอบอาวุธปืน และอั้งยี่ ที่เกิดขึ้นในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็คงต้องว่ากันไปตามกระบวนการกฎหมาย ซึ่งคดีดังกล่าวมีอายุความ 20 ปี
เมื่อถามว่า นายจักรภพ ได้แจ้งรายละเอียดทางคดีหรือไม่ ทนายกล่าวว่า คดีนี้เข้าสู่กระบวนการของศาลไปแล้ว บางคนได้รับการตัดสินไปแล้ว แต่ของนายจักรภพยังไม่มีการตัดสิน และให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ส่วนจะได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนหรือไม่ขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
นายโชคชัย กล่าวต่อว่า ส่วนตัวทำตามขั้นตอนอยู่แล้ว และไม่มีความกังวลว่าจะไม่ได้รับการประกันตัว เพราะจำเลยเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายทุกขั้นตอน หากว่าสามารถประกันตัวได้ในชั้นนี้ ก็พร้อมจะยื่นหลักทรัพย์ทันที
เมื่อถามว่านายจักรภพ ได้ฝากอะไรถึงมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยร่วมต่อสู้หรือไม่ นายโชคชัยกล่าวว่า เจ้าตัวบอกเพียงว่า จะเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนตัวทราบเพียงเท่านี้
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมามีอดีตแกนนำคนเสื้อแดงคนอื่น ที่ลี้ภัยทางการเมือง ติดต่อเข้ามาเพื่อเดินทางกลับไทยหรือไม่ นายโชคชัย กล่าวว่า ยังไม่มี ส่วนการเดินทางกลับไทยของนายจักรภพ จะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ นายทักษิณ ชินวัตร โดยตรงหรือไม่นั้นยืนยันว่า ส่วนตัวไม่ทราบ เพราะทำหน้าที่ในฐานะทนายความ ส่วนเหตุผลที่เจ้าตัวเดินทางกลับมา ก็ขอให้ผู้สื่อข่าวไปสอบถามเอง จะเกี่ยวหรือไม่ ไม่สามารถตอบได้ ทราบเพียงว่าบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะที่จะกลับมาได้แล้ว และเป็นเรื่องที่แต่ละคนมีวิจารณาญาณส่วนตัวอยู่แล้ว
ขณะที่ด้าน นายสุไพรพล ช่วยชู เลขาส่วนตัวของ นายจักรภพ กล่าวว่า หลังจากกระบวนการเสร็จสิ้น นายจักรภพจะลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวน ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเหตุผลที่ นายจักรภพ กลับมา ก็คงเป็นอย่างที่เจ้าตัวโพสต์ในเฟสบุ๊กเมื่อวานนี้ว่าจะกลับมารับใช้ประเทศไทย มั่นใจว่านายจักรภพ จะได้รับการประกันตัวเพราะข้อกล่าวหาที่ผ่านมานั้น เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีข้อเท็จจริงส่วนการหายตัวไปถึง 15 ปี เนื่องจากนายจักรภพมีภารกิจอยู่ที่ต่างประเทศ และ ประกอบกับอยู่ในช่วงที่รัฐบาลมาจากรัฐประหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย
ส่วนนางณัฐนันท์ เพ็ญแข น้องสาวของนายจักรภพ ซึ่งเดินทางมารอรับพร้อมดอกกุหลาบในมือ กล่าวว่า ดีใจมาก ที่จะได้พบพี่ชายหลังไม่เจอกันมา 15 ปี ซึ่งพี่ชายได้เล่าการเป็นอยู่ชีวิตในต่างแดนว่า มีชีวิตอยู่ตามอัตภาพ ส่วนแนวทางคดีหลังสอบสวนแล้วเสร็จ จะมีอยู่ 2 แนวทาง คือ ให้ประกันในชั้นสอบสวน หรือส่งไปขออำนาจศาลฝากขัง ซึ่งจะมีสิทธิ์ยื่นขอประกันปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นศาลได้
ต่อมาเวลา 13.00 น. วันเดียวกัน ภายหลังเสร็จสิ้นขั้นตอนสอบปากคำ นายจักรภพ ได้ให้ทนายความส่วนตัวยื่นประกันตัวทั้ง 2 คดี โดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด คดีละ 2 แสนบาท รวมเป็นเงิน 4 แสนบาท ก่อนที่ทางพนักงานสอบสวนจะพิจารณาให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยนัดหมายมาเข้าพบอีกครั้งในวันที่ 22 กับ 23 เม.ย. 2567 ที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ทันทีที่นายจักรภพ ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เจ้าตัวได้เดินมาที่พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี บริเวณชั้น 1 อาคารประชาอารักษ์ ก่อนจะก้มลงกราบ ท่ามกลางสื่อมวลชนจำนวนมากจากหลากหลายแขนงที่มาเฝ้าติดตามรายงานสถานการณ์
นายจักรภพ กล่าวว่า วันนี้ตนได้กลับมายังประเทศไทยเพื่อทำการสู้คดีที่เหลืออยู่ทั้ง2 คดี ซึ่งเป็นคดีอาวุธทั้ง2คดี แบ่งเป็นคดีที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา1คดี และศาลอาญากรุงเทพอีก 1 คดี โดย ก่อนหน้าที่จะมาในวันนี้นั้นได้มีการประสานกับทนายความและประสานกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาบ้างแล้ว ทำให้วันนี้นั้นราบรื่น และสิ่งที่ประจำประทับใจมากในวันนี้คือ การอธิบายขั้นตอนต่างๆของเจ้าหน้าที่นั้น เป็นไปอย่างครบถ้วนทำให้ตน ลูกศิษย์ของตนและสามารถตอบคำถามกับเจ้าหน้าที่ได้อย่างมั่นใจ ซึ่งเรื่องนี้ประชาชนทั่วไปอาจจะคุ้นเคยกันแล้วแต่สำหรับตนถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีขึ้นมาก จึงทำให้มีความมั่นใจสู้คดีได้ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับขบวนการยุติธรรม
“โดย 15 ปีที่ตนได้เดินทางลี้ภัยไปต่างประเทศนั้นรู้สึกเสียดายเวลา ที่ไม่ได้รับใช้ประเทศชาติ เพราะฉะนั้นจากนี้เป็นต้นไปตนคิดว่าสิ่งไหนที่ตนทำได้ก็อยากจะทำซึ่งวิถีทางทางการเมืองนั้นก็เป็นเส้นทางหนึ่ง หรือการทำงานต่างๆในบทบาทของต่างประเทศตนก็จะรับ ซึ่งหากผลจากเรื่องคดีความแล้วตนจะขอทำตัวให้มีประโยชน์ต่อชาติ ในเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตนี้”
นายโชคชัย กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของการประกันตัวนั้นนายจักรภพได้รับการประกันตัว โดยไม่มีเงื่อนไขอะไร โดยวางวงเงินไว้คดีละ 200,000 บาท 2 คดีรวมเป็น 400,000 บาท ซึ่งนายจักรภพนั้นได้ปฏิเสธทั้ง 2 ข้อกล่าวหา ส่วนการให้การเพิ่มเติมนั้นจะให้การในภายหลัง ซึ่งได้มีการนัดเข้าให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนในวันที่ 22 และ 23 เมษายนนี้
"ส่วนประเด็นที่ว่ามีการดีลกันจึงทำให้สามารถเดินทางกลับประเทศได้นั้น นายจักรภพ กล่าวว่า ทุกอย่างที่มาถึงในวันนี้นั้นไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการพูดคุย การคุยกันในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการแลกเปลี่ยนอะไรกัน เป็นเพียงการพูดคุยกันว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหาจุดร่วมแทนที่จะหาจุดต่าง ประเด็นสำคัญคือตนมองว่าการเมืองในภาพใหญ่สุดนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงนำมาสู่วันนี้"
เมื่อว่าได้มีการวางเเผนว่าจะกลับมาทำในส่วนไหนอย่างไรกับที่ได้มีการพูดคุยกัน นายจักรภพ กล่าวว่าไม่มี เพียงเเต่กลับมาสู่กระบวนการยุติธรรมซึ่งตนเชื่อ เชื่อในขบวนการดังกล่าวว่ามีความถูกต้อง ตนเองนั้นมีคดีตั้งแต่ปี 2549 มากจนถึงเกือบ 10 คดี ซึ่งได้มีการต่อสู้มาโดยตลอด โดยมีคดีที่หมดอายุความไปบ้าง ศาลสั่งไม่ฟ้องหรือหมดอายุความไปบ้าง เช่นคดีม.112 ศาลก็ได้มีการสั่งยกฟ้องไป เมื่อเดือนก.ย. 2554
ถามต่อว่าหากกระบวนการทางคดีจบสิ้นเรียบร้อยแล้วหากได้รับการทาบทามจากรัฐบาล ให้เข้าช่วยงานยินดีหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่ายินดี แต่การเข้าไปช่วยนั้นจะต้องไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ภายในพรรคเดียวกันหรือพรรคใดก็ตาม
นายจักรภพ กล่าวต่อด้วยยอมรับว่า มีการติดต่อคุยกับนายทักษิณกันทางโทรศัพท์เพียงหนึ่งครั้งโดยมีการสอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง และบรรยากาศโดยรวมเป็นอย่างไร แต่ตนรู้ดีว่าต่างคนก็ต้องต่างต่างทำการบ้านในส่วนของตนซึ่งทั้งตนและนายทักษิณนั้นก็มีคดีความทางการเมืองเช่นเดียวกัน
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบปากคำ นายจักรภพ เบื้องเจ้าตัวให้การปฏิเสธ ทั้ง 2 คดี โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ตรวจพบในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา อีกทั้งในช่วงที่เกิดเรื่องยังใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศกัมพูชา จึงมั่นใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนแต่อย่างใด
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับเหตุผลที่ทำให้นายจักรภพ ต้องหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลากว่า 15 ปี นั้นส่วนหนึ่งมาจากเหตุผลเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมองว่าอาจไม่ได้รับความเป็นธรรมทางคดี เพราะถูกกลั้นแกล้ง กระทั่งเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ประกอบกับต้องการกลับมาช่วยเหลือพัฒนาประเทศชาติ จึงตัดสินใจกลับเข้าประเทศอีกครั้ง