พล.ต.อ.วินัยยืนยันสอบปมขัดแย้ง 'บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่อ' เสร็จภายใน 60 วัน แต่หากไม่เสร็จก็ต้องขยายเวลา ลั่นไม่มีมวยล้ม เผยข้อมูลต่างๆเดินทางมาเกือบสุดแล้ว ดึงข้อเท็จจริงออกมาไม่ใช่เรื่องยาก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าพล.ต.อ.วินัย ทองสอง หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้แถลงว่าว่าคณะกรรมการได้พูดคุยกันและเล็งเห็นว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ จึงควรมีการสื่อสารให้ทราบความคืบหน้าการตรวจสอบ สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงเรื่องการแถลงข่าวโต้แย้งกันภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย จึงตั้งคณะกรรมการที่มีความเป็นกลางไม่ใช่คู่ขัดแย้งและไม่ได้เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มาตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย หน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ คือ จะทำความจริงให้ปรากฏ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร และจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วัน
พล.ต.อ.วินัย ยืนยันว่า ใครทำผิดต้องได้รับผิด ใครทำถูกก็ต้องได้รับความบริสุทธิ์ ใครทำกรรมดีก็ต้องได้รับความดี ใครทำชั่วก็ต้องได้รับความชั่ว จะไม่มีการกลั่นแกล้งใส่ร้ายรังแกหรือช่วยเหลือผู้ใด
ทั้งนี้หากประชาชนท่านใดมีเบาะแสหรือข้อมูลหลักฐาน เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังตรวจสอบขอให้นำข้อมูลข่าวสารมาพบคณะกรรมการทั้ง 3 ได้ ส่วนเป็นการตรวจสอบประเด็นใดบ้างนั้น พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า เรื่องที่มีการแถลงโต้ตอบกัน เรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ของเว็บพนัน ซึ่งการทำความจริงให้ปรากฏต้องได้รายละเอียดว่า ใครทำสิ่งใด อย่างไร ตนเชื่อว่าทางคณะกรรมการจะสามารถทำความจริงให้ปรากฏได้ แม้จะไม่ได้ดูสำนวนการสอบสวนจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ ยืนยันว่า สามารถทำความจริงให้ปรากฏได้ เรามีวิธีการอื่นที่จะให้ได้มาถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง
พล.ต.อ.วินัย กล่าวถึงระยะเวลาในการตรวจสอบ ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และยาว คณะกรรมการจึงต้องพยายามทำงานให้รวดเร็วและรายงานการตรวจสอบให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ พร้อมข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นนำเสนอ และนอกจากนี้ได้ขอให้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมแล้ว
“เบื้องต้นคณะกรรมการจะต้องพยายามทำให้ทันภายใน 60 วัน หากไม่ทันจะต้องขยายระยะเวลา ซึ่งขณะนี้เริ่มทำแล้ว และรวบรวมพยานหลักฐานพอสมควร ซึ่งไม่สามารถตอบได้จะเสร็จก่อนที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เกษียณหรือไม่ แต่วันนี้ข้อมูลต่างๆ เดินทางมาเกือบสุดแล้ว ฉะนั้นการดึงข้อเท็จจริงออกมาคิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องยาก” พล.ต.อ.วินัยกล่าว
โดยผลการพิจารณานั้น เมื่อตรวจสอบเสร็จจะสรุปและส่งให้นายกรัฐมนตรี มีอำนาจพิจารณาว่าจะส่งให้หน่วยใดเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนการดำเนินคดีอาญา ทางพนักงานสอบสวน และ ป.ป.ช.ก็ดำเนินต่อไป ทำงานควบคู่กันไป หากมีการแจ้งข้อหาต่างๆ เจ้าตัวก็จะรายงานต้องหาคดีอาญา และเป็นกระบวนการของจเรตำรวจแห่งชาติดำเนินการทางวินัย แต่หากคณะกรรมการของตนตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิด ก็จะเสนอให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการ คาดว่า น่าจะกลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เมื่อถามว่า เป็นการซื้อเวลาหรือไม่ พล.ต.อ.วินัย ยืนยัน ไม่ใช่เรื่องซื้อเวลา แต่เนื่องจากประเด็นนี้ยังหาบทสรุปไม่ได้ จึงต้องหาคนกลาง มาทำงานเป็นกลาง ไม่ช่วยใคร ไม่กลั่นแกล้งใคร ขณะนี้ยังไม่พิจารณาการเรียกทั้ง 2 นายพลมาชี้แจงอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานในส่วนอื่นๆ ก่อน แต่อาจจะมีการเรียกมาสอบในช่วงท้ายของการตรวจสอบ
พล.ต.อ.วินัย กล่าวต่อว่า คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นครั้งนี้มีลักษณะการทำงานเหมือนชุดกรรมการพิเศษที่นำโดย ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ สอบเรื่องเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือคดีบอส อยู่วิทยา โดยสุดท้ายมีผลการตรวจสอบสามารถนำไปสู่การดำเนินคดีผู้กระทำผิดได้
เมื่อถามถึงกรณีที่นายพลทั้ง 2 ออกมาแถลงว่าจะมีการปรองดองยุติข้อขัดแย้ง จะมีผลต่อการสอบหรือไม่ พล.ต.อ.วินัยยืนยันว่าไม่มีผลใดๆไม่มีมวยล้มต้มคนดู
ส่วนผลการตรวจค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ใช้กรรมการชุดเดียวกันนี้ ได้ทำการเสนอนายกรัฐมนตรีไปแล้วว่า การใช้กำลังคน การใช้วิธีควรระมัดระวัง แต่ทั้งนี้การเข้าค้นบ้านของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นไปตามกฎหมาย