สถาบันอังกฤษจัดไทยอันดับที่ 63 ดัชนีประชาธิปไตยปี 66 พบอันดับไทยลดลงถึง 8 อันดับเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ได้คะแนนดีสุดเรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมือง แต่น้อยสุด 5 คะแนนเรื่องวัฒนธรรมทางการเมือง ขณะมาเลเซียอันดับ 1 อาเซียน เมียนมารั้งท้ายภูมิภาค-เผยสาเหตุสำคัญที่คะแนนลดมาจากเหตุรัฐสภาไม่รับรอง 'พิธา' เป็นนายกฯ เป็นข้อบ่งชี้ว่าระบบถ่ายโอนอำนาจยังไม่เป็นที่ยอมรับ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าสถาบัน The Economist Intelligence Unit (EIU) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจและการเมือง และเป็นบริษัทผลิตนิตยสารดิอิโคโนมิสต์ของสหราชอาณาจักรได้มีการจัดทำดัชนีความเป็นประชาธิปไตยใน 167 ประเทศทั่วโลกประจำปี 2566 โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 63 ได้คะแนน 6.35 คะแนน ซึ่งอันดับดังกล่าวนั้นหล่นลงมาจากอันดับในปีก่อนหน้าถึง 8 อันดับ
โดยประเทศไทยได้คะแนนปลีกย่อยในด้านกระบวนการเลือกตั้งและพหุนิยมอยู่ที่ 7 คะแนน ได้คะแนนในด้านการทำงานของรัฐบาลอยู่ที่ 6.07 คะแนน ได้คะแนนในด้านความมีส่วนร่วมทางการเมือง 7.78 คะแนน ได้คะแนนด้านวัฒนธรรมทางการเมือง 5.00 คะแนน และได้คะแนนในด้านเสรีภาพพลเมือง 5.88 คะแนน
สำหรับคะแนนของประเทศอื่นๆนั้นพบว่าประเทศที่มีอันดับใกล้เคียงกับประเทศไทยได้แก่ประเทศบัลแกเรีย อยู่ในอันดับที่ 62 มีคะแนน 6.41 คะแนน และประเทศเซอร์เบียอยู่ในอันดับ 64 มีคะแนน 6.33 คะแนน
สำหรับของประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่าประเทศมาเลเซียได้อันดับหนึ่งในภูมิภาค โดยอยู่ในอันดับที่ 40 ในดัชนี ตามมาด้วยติมอร์เลสเตอันดับที่ 45, ฟิลิปปินส์อันดับที่ 53, อินโดนีเซียอันดับที่ 56, สิงคโปร์อันดับที่ 69,เวียดนามอันดับที่ 136, ลาวอันดับที่ 159 และเมียนมาอันดับที่ 166
สำหรับประเทศที่ได้อันดับหนึ่งได้แก่ประเทศนอร์เวย์ ตามมาด้วยนิวซีแลนด์ สวีเดน และฟินแลนด์ ส่วนประเทศที่อยู่ในอันดับ 167 ได้แก่ประเทศอัฟกานิสถาน
ในดัชนียังมีการกล่าวถึงประเทศไทยด้วย โดยระบุว่าในปี 2565 คะแนนของประเทศไทยมีการพัฒนาขึ้นมาเนื่องจากว่าพรรคฝ่ายค้านมีการแข่งขันกันมากขึ้นในระดับท้องถิ่นและในระดับชาติ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนั้น
โดยในปีนั้นเรา (ผู้จัดทำดัชนี) เน้นย้ำว่าความคืบหน้าของประเทศไทยเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้นเนื่องจากรัฐธรรมนูญไทยยังอนุญาตให้มีวุฒิสภาส่วนมากที่ยังถูกครอบงำโดยทหารเพื่อดำเนินการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นกลุ่มที่ต่อต้านผู้ทรงอำนาจชนะเพราะได้เสียงส่วนมากแต่ว่าภายใต้อิทธิพลของกองทัพ รัฐสภาจึงล้มเหลวในการแต่งตั้งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้นำพรรคก้าวไกล (ณ เวลานั้น) ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และสิ่งที่ตามมาก็คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระงับการทำหน้าที่ของนายพิธาในฐานะ สส.เป็นการชั่วคราวในข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัทสื่อ ทำลายความหวังของพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล
หรือก็คือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการถ่ายโอนอํานาจตามระบอบประชาธิปไตยไม่ได้จัดตั้งหรือเป็นที่ยอมรับในประเทศไทยอย่างชัดเจน และตุลาการมีความไม่เป็นอิสระ