‘บิ๊กต่อ’ เรียก ผบช.น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ประชุมวางแผนในการปฏิบัติหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร สั่งรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนเสด็จ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เปิดเผยว่า วานนี้ (9 ก.พ.) ได้เดินทางไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อเรียก พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พร้อมด้วย รอง ผบช.น. และเจ้าหน้าทุกหน่วยเข้าร่วมประชุม เพื่อวางแนวทางกำชับความเข้มข้นการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ได้สั่งกำชับการปฏิบัติ โดยจะต้องไม่กระทบกับพี่น้องประชาชนที่สัญจรบนท้องถนน และยังคงหลักด้านความปลอดภัยในขบวนเสด็จอย่างสูงสุด ตลอดจน ได้กำชับการรวบรวมพยานหลักฐาน ในคดีที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในขบวนเสด็จ พร้อมสั่งกำชับให้พนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งก่อน ขณะ และ หลังขบวนเสด็จ อย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย หากพบว่ามีความผิด ก็ให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
"รวมทั้งให้นำบทเรียนที่เกิดผลกระทบต่อขบวนเสด็จมาทำการศึกษา เพื่อถอดบทเรียน ทำการประชาสัมพันธ์แนวทางในการใช้รถใช้ถนนของประชาชน ในกรณี ร่วมเส้นทางกับขบวนเสด็จให้ทราบและปฏิบัติได้อย่างปลอดภัย และเพื่อให้เกิดมาตรฐานในการถวายความปลอดภัยให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และไม่กระทบแก่พสกนิกรของพระองค์ท่าน" ผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้าย
กรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้มรรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อเอ็มจี รุ่นนิวเอ็มจี 3 สีขาว ทะเบียน 8 กจ 1711 กรุงเทพมหานคร มีชายไม่ทราบชื่อเป็นผู้ขับขี่และหญิงนั่งด้านข้างคนขับขี่ ทราบชื่อภายหลังคือ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อายุ 20 ปี ได้มีพฤติกรรมพยายามขับรถแซงขบวนเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในขณะที่ขบวนกำลังแล่นผ่านทางด่วน พร้อมบีบแตรรถยนต์ลากยาวระหว่างขบวนเสด็จผ่านทางร่วมต่างระดับมักกะสัน และขับรถยนต์ด้วยความเร็วเพื่อไปให้ทันขบวน แต่เมื่อมาถึงบริเวณทางลงด่วนพหลโยธิน 1 (ทางลงด่วนอนุสาวรีย์ชัยฯ) เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่รถปิดท้ายได้สกัดกั้นไม่ให้รถยนต์คันดังกล่าวลงไปร่วมกับขบวนได้ จึงปรากฏคลิปโต้เถียงดังกล่าว
ต่อมาตำรวจได้ชี้แจงว่าช่วงเกิดเหตุ ขบวนเสด็จไม่ได้มีการปิดถนนแต่อย่างใด โดยมีรถนำตำรวจปิดหัวท้ายขบวนเท่านั้น ซึ่งประชาชนก็สามารถใช้ทางได้ตามปกติ แต่ผู้ก่อเหตุได้บีบแตรยาว ขณะที่ขบวนเสด็จแล่นผ่าน พร้อมพยายามจะขับแซงรถขบวนตำรวจปิดท้าย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามมาตการใช้รถขวางตามยุทธวิธี ทั้งนี้หลังเหตุการณ์ดังกล่าวมีการพูดถึงความไม่เหมาะสม และเรียกร้องให้ทางเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย