‘เศรษฐา’ เปิดหัวอภิปรายงบประมาณปี 67 ผ่างบรวม 3.48 ล้านล้านบาท ย้ำจุดหมายแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำคัญระดับต้นๆ ก่อนเปิดแผนงานรัฐบาลที่จะทำทั้งอัปเกรด 30 บาทรักษาทุกโรค, ปราบยาเสพติด และปัญหาสังคมอื่น พบงบปี 67 ขาดดุล 6 แสนล้าน หนี้สาธารณะ 11 ล้านล้านบาท คิดเป็น 32% ต่อจีดีพีประเทศ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 3 มกราคม 2567 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1 ครั้งที่ 5 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
โดยนายกรัฐมนตรีได้แถลงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้
คณะรัฐมนตรีขอเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีหลักการและเหตุผล ดังนี้
หลักการ ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นจำนวนไม่เกิน 3,480,000,000,000 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยรับงบประมาณ เป็นจำนวน 3,361,638,869,500 บาท เพื่อชดใช้เงินคงคลัง เป็นจำนวน 118,361,130,500 บาท
เหตุผล เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณได้มีกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่รัฐบาลนำเสนอต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน นโยบายของรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา โดยรัฐบาลได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ และฐานะทางการเงินการคลังของประเทศ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
นายเศรษฐากล่าวต่อไปว่า สำหรับภาวะเศรษฐกิจทั่วไป ตามแถลงภาวะเศรษฐกิจของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 เศรษฐกิจไทยในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.5 ซึ่งเป็นเป้าล่าสุดในไตรมาสที่ 3 โดยเป็นเป้าหมายที่ถูกปรับมาเรื่อยๆ โดยหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และยังมีองค์กรต่างประเทศ ที่ได้ลดการประมาณการขยายตัวลงด้วย
เป้าหมายการขยายตัวนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวตามการขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อภาคการส่งออกสินค้า และภาคการผลิตอุตสาหกรรม รวมทั้งภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 1.4 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1.0 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประเมินไว้ว่า เศรษฐกิจในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.7 - 3.7 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคการส่งออก การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากการลดลงของแรงขับเคลื่อนด้านการคลัง ภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจยังอยู่ในระดับสูง ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งต่อผลผลิตภาคการเกษตร ความเสี่ยงจากการชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ท่ามกลางความเสี่ยงจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.7 – 2.7 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1.5 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
ทั้งนี้ตัวเลขการประเมินข้างต้นอาจถูกกระทบโดยปัจจัยที่คาดไม่ถึงในอนาคต เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ราคาพลังงานที่ผันผวน การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และปัจจัยอื่นๆ ในอนาคต
@ย้ำเป้าหมายเศรษฐกิจ สำคัญที่สุด
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ความสัมพันธ์ของงบประมาณรายจ่าย และแผนการพัฒนาประเทศ ในงบประมาณรายจ่ายปี พ.ศ. 2567 มุ่งทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นผ่านการดำเนินนโยบายที่จะครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยมีการดำเนินการทั้งระยะเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้นและนโยบายระยะกลางและยาว เพื่อเสริมขีดความสามารถในการเจริญเติบโตของประเทศ
จากการปรับลดเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จนลงมาเหลือเพียงร้อยละ 2.5 ในไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ. 2566 นั้น แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังสูญเสียความสามารถในการเจริญเติบโต ซึ่งเกิดมาจากปัจจัยทั้งผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา การลงทุนของภาคเอกชนที่ลดลง การสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆที่สูงขึ้น เป็นต้น
เศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เนื่องมาจากประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบโดยตรง จึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาลนี้ที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยเริ่มจากการสร้างอุปสงค์ (Demand) ในกลุ่มเป้าหมายของนโยบาย นำไปสู่การผลิตสินค้า ที่จะต้องมีการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อขยายการผลิต ก่อให้เกิดการขยายอุปทาน (Supply) มีการพัฒนาขีดความสามารถในภาคอุตสาหกรรม ยกระดับการผลิตและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานให้ใช้เทคโนโลยีที่ดีขึ้นทั้งประเทศ
การท่องเที่ยวยังคงจะเป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยทำให้การท่องเที่ยวเข้าถึงเมืองรองมากขึ้น สร้างงานและอาชีพในพื้นที่ดังกล่าว เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการในพื้นที่ โดยรัฐบาลจะดึงดูดการท่องเที่ยวด้วยมาตรการต่างๆ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น นำจุดเด่นทางวัฒนธรรมไปนำเสนอให้กับเวทีโลก สนับสนุนการใช้อัตลักษณ์ของไทยให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนา Soft Power ของประเทศในระยะยาวด้วย
ในขณะเดียวกัน ประชาชนจำนวนมากเดือดร้อนจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่มาของนโยบายการลดรายจ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ ซึ่งครอบคลุมไปถึงหนี้นอกระบบ และหนี้ในระบบ การลดราคาพลังงาน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างพลังงานให้เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมก็จะสามารถแข่งขันได้มากขึ้น
ประชาชนไทยจะเข้าถึงแหล่งงานที่มีคุณค่ามากขึ้น สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถที่มาจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชนระดับโลกได้ โดยรัฐบาลจะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม คนไทยจะมีทักษะความสามารถเพิ่มขึ้นจากการทำงานและการอบรม ซึ่งรัฐบาลได้เดินหน้าดึงดูดบริษัทชั้นนำต่างๆ ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อขจัดข้อจำกัดในการลงทุน วางแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นที่จะเอื้อให้เกิดการลงทุนเกี่ยวเนื่องให้ครอบคลุมทุกมิติ
ส่วนการคมนาคมในประเทศจะสะดวกสบายมากขึ้น สามารถรองรับความต้องการได้ในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ โดยรัฐบาลจะลงทุนอย่างต่อเนื่อง และทำให้การระบบคมนาคมและโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพ กลายเป็นหนึ่งในจุดแข็งของประเทศไทย โดยพัฒนาทั้งโครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารจัดการให้ดีขึ้น เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (National Single Window) ที่จะทำให้ขั้นตอนการยื่นเอกสารและดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐสะดวกและง่ายดายมากขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้ ประเทศไทยจะมีการลงทุนเรื่องน้ำที่ครอบคลุมทั้งระบบ เช่น น้ำในภาคการผลิต ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลจะขยายการเชื่อมต่อชลประทานให้มากยิ่งขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์เอลนีโญ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรในการปลูกพืช เลี้ยงปศุสัตว์ ลดต้นทุนในการเข้าถึงน้ำ ทำให้เกษตรกรไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องปัจจัยการผลิตอีกต่อไป และทำให้ภาคอุตสาหกรรมไม่เป็นกังวลกับการผลิต ให้ยังคงสามารถลงทุนต่อเนื่องได้
ทรัพยากรธรรมชาติจะได้รับการดูแล อนุรักษ์ ฟื้นฟู ทั้งป่าไม้ ป่าชายเลน ทะเล ชายฝั่ง ซึ่งเป็นสินทรัพย์ทางธรรมชาติของประเทศ อากาศจะต้องสะอาด ฝุ่นพิษจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน และประเทศไทยจะเดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติในระยะยาว ผ่านการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ และดำเนินมาตรการจูงใจให้ภาครัฐและเอกชนลดการใช้คาร์บอน
@ชูอัปเกรด 30 บาท - ปราบยาเสพติด นโยบายด้านสังคม
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า อีกด้านหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือด้านสังคมและความมั่นคง โดยประชาชนคนไทยจะต้องมีสุขภาวะที่ดีทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ เข้าถึงงานบริการสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปต่อคิวอีกต่อไป โดยรัฐจะลงทุนการเชื่อมต่อข้อมูลทั้งระบบ อัพเกรดระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคให้ดียิ่งขึ้น
รัฐบาลจะดูแลลูกหลานประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากยาเสพติด โดยการปรับปรุงหลักเกณฑ์ผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ซึ่งจะเน้นบำบัดผู้ติดยาและทำให้พวกเขาสามารถกลับคืนสู่ครอบครัวและสังคมได้ รวมทั้งจะสกัดกั้นยาเสพติดที่ลักลอบข้ามพรมแดนไม่ให้สามารถเข้ามาแพร่กระจายได้ ใช้มาตรการการจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ผลิต ผู้ค้า และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้ยาเสพติดไม่สามารถแพร่ระบาดในประเทศไทยได้
ด้านอัตลักษณ์และความเสมอภาค รัฐบาลจะทำให้คนทุกกลุ่มได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย โดยปราศจากเงื่อนไขทางเพศสภาพ อายุ ความเจ็บป่วยของร่างกาย ทำให้ได้รับสิทธิครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ และเข้าถึงโอกาสต่างๆ เพื่อสร้างความเสมอภาคทางสังคมที่แท้จริง
@เข้มความมั่นคง เสถียรภาพประเทศ - เกณฑ์ทหารสมัครใจ
“ประชาชนจะไม่ต้องกังวลเรื่องความมั่นคงใดๆ เพราะรัฐจะดูแลให้อย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งความมั่นคงทางด้านกายภาพ เช่น การดูแลชายแดนและชายฝั่งทะเล การพัฒนาความสามารถในการดูแลภัยพิบัติ และช่วยเหลือผู้ประสบภัย การต่อต้านการก่อการร้ายในรูปแบบดั้งเดิม และความมั่นคงทางด้านไซเบอร์ ที่มีแนวโน้มจะขยายความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆโดยจะมีการทำงานอย่างบูรณาการครบทุกส่วน และประชาชนจะไม่รู้สึกเป็นกังวลด้านความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน” นายเศรษฐากล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลจะพัฒนากองทัพให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น สอดคล้องไปกับการพัฒนาความมั่นคงในทุกรูปแบบและให้ตรงกับยุคสมัย ระบบการเกณฑ์ทหารจะเปลี่ยนเป็นแบบสมัครใจ โดยมีการสร้างแรงจูงใจใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง การฝึกอาชีพ รวมถึงโอกาสในการประกอบอาชีพหลังจากการเป็นทหารประจำการ ทั้งหมดนี้จะทำให้สถาบันทหารมีความเป็นมืออาชีพ มีภาพลักษณ์ที่ดีและใกล้ชิดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น
ประชาชนคนไทยทุกคนจะสามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ เป็นการดำเนินนโยบายแบบ “การต่างประเทศที่กินได้” โดยสร้างจุดยืนที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทย เป็นประเทศแนวหน้าในภูมิภาค มีอำนาจต่อรอง และได้รับการยอมรับในสากล มีความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน การดูแลคนไทยในต่างแดน การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นต้น ทำให้ประเทศและคนไทยรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและความภาคภูมิใจ
@ยันมีนโยบายเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ด้านการพัฒนาศักยภาพของคนไทย ประชาชนจะต้องได้รับการศึกษาที่เข้าถึงได้ พัฒนาสถาบันการศึกษาให้มีคุณภาพ และพัฒนาหลักสูตรให้มีมาตรฐานและทันต่อยุคสมัย รวมทั้งขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมไปถึงระดับวิชาชีพ เพื่อพัฒนาทักษะสำหรับตลาดแรงงาน หรือผู้ประกอบการยุคใหม่ ๆ และสุดท้าย ในด้านการเมืองการปกครอง ประชาชนจะได้เห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะแก้ไขจุดด้อยของฉบับที่ผ่านมา ผ่านการทำงานที่โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยจะแก้ไขรัฐธรรมนูญบนหลักการที่เป็นไปได้มากที่สุดและเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งใหม่ในสังคมไทย
ประชาชนจะได้รับการบริการจากภาคราชการที่เร็วขึ้น สะดวกมากขึ้น ซึ่งในช่วงโควิด-19 หลาย ๆส่วนราชการก็ได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาให้บริการประชาชนมากขึ้น และในขณะเดียวกันประชาชนจำนวนมากก็เริ่มคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการใช้บริการ จึงเป็นโอกาสอันดีที่ในปี พ.ศ. 2567 จะใช้งบประมาณรายจ่ายในการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลให้เกิดขึ้นได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับบริการที่ดี รวดเร็ว สะดวก มีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารกระดาษอีกต่อไป และยังทำให้เชื่อมโยงหลากหลายหน่วยงานเข้าเป็นฐานข้อมูลเดียวกัน มุ่งหน้าไปสู่การเป็น E-government ที่แท้จริงในอนาคต
และประชาชนจะมีส่วนร่วมกับรัฐบาลมากขึ้นผ่านกลไกในระดับชุมชน ซึ่งจะเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม ทำให้ประชาชนตื่นตัว และช่วยกันพัฒนาประเทศไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
@งบปี 67 ขาดดุล 6.93 แสนล้าน
ขณะที่นโยบายการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและงบประมาณรายจ่ายที่ขอตั้ง นายกรัฐมนตรีเริ่มต้นว่า ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมสุทธิจำนวน 2,912,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 จากปีก่อน
และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 125,800 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรรเป็นรายจ่ายของรัฐบาล จำนวน 2,787,000 ล้านบาท
สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ จำนวน 2,787,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 693,000 ล้านบาท รวมเป็นรายรับ จำนวน 3,480,000 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย
จากการเพิ่มขึ้นของประมาณการรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จะทำให้รัฐมีรายได้ 2,787,000 ล้านบาท หรือเพิ่มกว่าร้อยละ 11.9 ทำให้รัฐบาลมีการกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณลดลงจากปีงบประมาณที่ผ่านมา และสามารถตั้งงบประมาณชำระคืนต้นเงินกู้ การชดใช้เงินคงคลัง และการตั้งงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่เพิ่มขึ้นได้
@หนี้สาธารณะ 11 ล้านล้าน ร้อยละ 62.1 ของจีดีพี- เงินคงคลังเหลือ 2.97 แสนล้าน
ส่วนฐานะการคลัง หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2566 มีจำนวน 11,125,428.1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 70 โดยหนี้สาธารณะที่เป็นข้อผูกพันของรัฐบาล ซึ่งเกิดจากการกู้ยืมเงินโดยตรง และการค้ำประกันเงินกู้โดยรัฐบาล มีจำนวนทั้งสิ้น 10,537,912.7 ล้านบาท
ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 297,093.6 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
ด้านฐานะและนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ถูกปรับให้สูงขึ้น โดยใช้สมมุติฐานว่าสภาพเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวด้วยดี โดยจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินได้มีมติปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ในการประชุมเมื่อเดือนกันยายน 2566 นั้น อาจเป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2566 ยังอยู่ที่ระดับต่ำที่ร้อยละ 0.5 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ซึ่งน้อยกว่าประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงมาจากที่อยู่ในระดับที่สูงในปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนจากสภาพเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัวลงต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับนโยบายที่อาจได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากนโยบายของภาครัฐ
มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มีจำนวน 211,750.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.74 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสาระสำคัญของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,480,000 ล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 2,532,826.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 72.8 รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 118,361.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.4 รายจ่ายลงทุน จำนวน 717,722.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.6 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 118,320.0 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.4 ทั้งนี้รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 7,230.2 ล้านบาท
@งบกลาง 6 แสนล้าน
1. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำแนกตามกลุ่มงบประมาณ
1.1 งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รัฐบาลกำหนดไว้ จำนวน 606,765.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.4 ของวงเงินงบประมาณ
1.2 งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ รัฐบาลกำหนดไว้ จำนวน 1,150,144.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 33.0 ของวงเงินงบประมาณ
1.3 งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ รัฐบาลกำหนดไว้ จำนวน 214,601.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.2 ของวงเงินงบประมาณ จำนวน 10 เรื่อง ได้แก่
1. ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
3. ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
4. เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย
5. บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
6. ป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
7. พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์
8. พัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต
9. รัฐบาลดิจิทัล
10. สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว
1.4 งบประมาณรายจ่ายบุคลากร รัฐบาลกำหนดไว้ จำนวน 785,957.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.6 ของวงเงินงบประมาณ
1.5 งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน รัฐบาลกำหนดไว้ จำนวน 257,790.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.4 ของวงเงินงบประมาณ
1.6 งบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ รัฐบาลกำหนดไว้ จำนวน 346,380.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.0 ของวงเงินงบประมาณ
1.7 งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง รัฐบาลกำหนดไว้ จำนวน 118,361.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.4 ของวงเงินงบประมาณ
@จำแนกงบตาม 6 ยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ
2. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ
ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ได้กำหนดไว้จำนวน 6 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ โดยได้นำยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมากำหนดเป็นกรอบโครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รายละเอียดการดำเนินงานที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 : ด้านความมั่นคง รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 390,149.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.2 ของวงเงินงบประมาณเพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง ประชาชนมีความสุข สามารถรับมือกับภัยคุกคามและภัยพิบัติได้ทุกรูปแบบบนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล จำแนกตามแผนงานสำคัญ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 393,517.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.3 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกด้านให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน ผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน โดยมีเป้าหมายกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกภูมิภาคของประเทศ จำแนกตามแผนงานสำคัญ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 561,954.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.1 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี การศึกษาได้รับการปฏิรูปให้ตอบสนองต่อนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง สร้างสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิตทั้งในและนอกระบบการศึกษา สนับสนุนการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางศิลปวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน ครอบคลุม ทั่วถึง มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างศักยภาพทางการกีฬา รวมทั้ง ผลิตกำลังคนและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย และวางรากฐานเศรษฐกิจในอนาคต จำแนกตามแผนงานสำคัญ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 834,240.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้คนไทยได้รับสวัสดิการพื้นฐานอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมและกลไกที่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดินทำกิน พัฒนาระบบสาธารณสุข ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค และการศึกษาที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้งสร้างหลักประกันสวัสดิการ สำหรับแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ และสนับสนุนการเตรียมความพร้อมสังคมไทยในการรองรับสังคมสูงวัย จำแนกตามแผนงานสำคัญ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 131,292.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.8 ของวงเงินงบประมาณ เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว และบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำแนกตามแผนงานสำคัญ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 6 : ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 604,804.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.4 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้ระบบการบริหารราชการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ส่วนรวม จำแนกตามแผนงานสำคัญ ดังนี้
@งบกลางฉุกเฉิน 9.9 หมื่นล้าน
นอกจากนี้ ยังมีรายการดำเนินการภาครัฐ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ จำนวน 564,041.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.2 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ และชดใช้เงินคงคลัง ดังนี้
1.รายจ่ายงบกลางเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 99,300.0 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันหรือแก้ไขสถานการณ์อันมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ความมั่นคงของรัฐ การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง และภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาล รวมทั้งชดเชยค่างานก่อสร้างเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
2.การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 346,380.1 ล้านบาท เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 118,320 ล้านบาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม จำนวน 228,060.1 ล้านบาท เพื่อให้การบริหารจัดการหนี้และการชำระหนี้ภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ
3.รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 118,361.1 ล้านบาท เพื่อเป็นรายจ่ายชดใช้เงินคงคลังที่ได้ใช้จ่ายไปแล้ว ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
“กล่าวโดยสรุปงบประมาณรายจ่ายปี พ.ศ. 2567 นี้มีงบประมาณรายจ่าย 3,480,000 ล้านบาท โดยจะมีที่มาจากรายได้ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ 2,787,000 ล้านบาท และเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 693,000 ล้านบาท แม้ว่างบประมาณรายจ่ายปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้นกว่าร้อยละ 11.9 ทำให้สามารถจัดสรรงบไปลงทุนได้กว่า 717,722.2 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 4.1 และสามารถชดใช้เงินคงคลังและชำระคืนต้นเงินกู้ได้กว่า 118,361.1 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งจะทำเป็นการเตรียมพร้อมทำให้รัฐบาลมีกรอบในการลงทุนในระยะกลางและยาวมากขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 อีกด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกตอน
นายเศรษฐาทิ้งท้ายว่า การบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการดำเนินนโยบายทั้งในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว โดยรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่จะบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ลงทุนเพื่อสร้างการเจริญเติบโตของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเป็นไปตามกฎหมาย