ป.ป.ช.เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหาอดีตผู้บริหาร สนง.พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทุจริตเงินทอนวัด ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบภาค 7 พิพากษาลงโทษจำคุก 9 ปี 18 เดือน 'วสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์' อดีตผอ.ส่วนพัฒนาบูรณะวัดฯ -นับโทษต่อคดีเก่า คืนเงิน 8.7 ล้าน หลังก่อนหน้านี้ โดนยึดทรัพย์ 56 ล. ร่ำรวยผิดปกติไปแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ผลความคืบหน้าคดีกล่าวหา นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพวก ทุจริตเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์ที่ได้จัดสรรให้วัดราชบุรณะ ตำบลท่ามะพลา อำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร ประจำปีงบประมาณ 2555 ถึง 2557 ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151 และ157 พ.ร.ป. ป.ป.ช. มาตรา 123/1 มาตรา 172 ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 มาตรา 86 และมาตรา 91 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา
ในส่วนคดีที่ นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นจำเลย
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 มีคำพิพากษาว่า นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ จำเลยมีความผิดตามมาตรา 147 , 151 เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 147 และมาตรา 151 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่จำต้องปรับบทมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก และผิดพรป.ป.ป.ช. มาตรา 123/1 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามมาตรา 91 แต่ละกรรมการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักที่สุดตามมาตรา 90 แต่ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์กับฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ซึ่งมีโทษหนักที่สุดแต่มีโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์
จำคุก กระทงละ 7 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 21 ปี
จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามป.อ.มาตรา 78
คงจำคุกกระทงละ 3 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 9 ปี 18 เดือน
ให้นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีเหมายเลขแดงที่ อท 251/2562 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีหมายเลขแดงที่ อท 11/2563 และคดีหมายเลขแดงที่ 89/2565 ของศาลนี้ทั้งสองคดี
กับให้จำเลยคืนเงิน 8,700,000 บาท แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ อท 28/2565 ของศาลนี้นั้น ศาลยังไม่มีคำพิพากษาจึงให้ยกคำขอส่วนนี้
ทั้งนี้ คดีนี้ ยังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566 ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา 151 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
สำหรับ นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ได้มีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์สินรวมมูลค่า 56,327,661 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ในคดีร่ำรวยผิดปกติไปแล้ว