'วัชระ' เผย มท.รับลูกสอบคดีตู้ห่าวแล้ว หลังทำหนังสื่อถามประเด็นเรื่องอนุมัติสัญชาติ การสวมสิทธิ์บัตรคนตาย ยันสอบปมบุกค้นสมาคมพ่อค้าไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซื้อบ้านจากเอสซี แอสเซทด้วย หวันเอี่ยวกระบวนการฟอกเงิน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าในวันที่ 28 ม.ค. นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตามที่ได้ทำหนังสือจำนวน 3 ฉบับคือฉบับที่ 1 ยื่นถึงพล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีนายห่าว เจ๋อ ตู้ หรือ ตู้ห่าวกับพวกคนจีนสีเทา ถูกดำเนินคดีอาญาร้ายแรงเรื่องยาเสพติด บ่อนการพนันผิดกฎหมาย โดยเป็นผู้ที่แปลงสัญชาติไทย
โดยสอบถามการดำเนินการประเด็นต่าง ๆ คือ
1. การอนุมัติสัญชาติไทยให้บุคคลต่างด้าวตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 ถึงปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้นกี่ราย ต้นทางสัญชาติใด
2. กระทรวงมหาดไทยมีการติดตามพฤติกรรมผู้ได้สัญชาติไทยหรือไม่
3. มีข่าวว่าต้องมีการจ่ายเงินจำนวนมากในการโอนมาเป็นสัญชาติไทยจริงหรือไม่
4. มีมาตรการป้องกันไม่ให้อาชญากรจากต่างประเทศโอนเป็นสัญชาติไทยได้อย่างไร และที่ได้สัญชาติไทยแล้วจะเพิกถอนสัญชาติคนจีนสีเทาหรือมาเฟียจากสัญชาติอื่นอย่างไร เมื่อไร
5. กรณีสวมบัตรประชาชนคนไทยที่เสียชีวิตไปแล้ว จะตรวจสอบทั้งประเทศอย่างไร เมื่อไร
6.จะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับทุกหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับจีนสีเทาอย่างไร เมื่อไร
7. ปัจจุบันมีคนสัญชาติจีนรออนุมัติเป็นบุคคลสัญชาติไทยอีกจํานวนเท่าไร และจะอนุมัติหรือไม่ อย่างไร
ส่วนหนังสือฉบับที่ 2 นายวัชระ ได้ยื่นถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีตำรวจบุกตรวจค้นสถานที่ตั้งสมาคมพ่อค้าไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ แล้วพบภาพผู้นำขนาดใหญ่หลายภาพ ธงชาติทุกประเทศ อาวุธปืนสงครามในตู้กระจกและชุดทหารราชองครักษ์ใส่หุ่นแสดงในตู้กระจก ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าวกับพวก (กลุ่มทุนจีนสีเทา) จึงขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดตั้งสมาคมพ่อค้าไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีการดำเนินงานที่ขัดกับกฎหมายและความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ เนื่องจากหลักฐานที่ตำรวจค้นพบในสมาคมฯ อาจมีลักษณะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ
และหนังสือฉบับที่ 3 นายวัชระได้ยื่นถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีนายตู้ห่าวและพวก (กลุ่มทุนจีนสีเทา) ซื้อโครงการบ้านหรู ของบริษัท เอสซี แอสเสทคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ราคาเฉลี่ยหลังละ 35 – 50 ล้านบาท รวมเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท จึงขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทําธุรกรรมการซื้อขายบ้าน-ที่ดินดังกล่าว หรือผู้ถือครองแทน และขอให้ตรวจสอบว่าเจ้าพนักงานที่ดินที่ได้รายงานธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ ตามพรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไร โดยขอให้ตรวจสอบสำนักงานที่ดินทุกแห่งในกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัดทั่วประเทศว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน เจ้าพนักงานที่ดินสาขาต่าง ๆ ได้รายงานการทำธุรกรรมกรณีดังกล่าวต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือไม่ หากละเว้นขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และให้ดำเนินการตามกฎหมายทุกราย
ทั้ง 3 กรณีดังกล่าวสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือตอบกลับมายังนายวัชระแจ้งว่า กรณีที่ 1-2ได้แจ้งให้กรมการปกครอง ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาดำเนินการแล้ว ส่วนกรณีที่ 3 ได้แจ้งให้กรมที่ดินตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาดำเนินการแล้วเช่นกัน หากได้ผลอย่างไรจะแจ้งให้ทราบต่อไป