WHO หนุนรายงานทางการแพทย์ชี้การติดเชื้อแบบผสมป้องกันอาการป่วยรุนแรงจากโควิดได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ชี้ภูมิคุ้มกันแบบผสมอยู่ได้นานถึง 11 เดือน เผยระยะเวลาฉีดวัคซีนหลังจากติดเชื้อดีที่สุดคือ 6 เดือน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประกาศว่าทาง WHO ได้สนับสนุนผลการศึกษาฉบับล่าสุดที่ระบุว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแบบผสม (ภูมิคุ้มกันระหว่างการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อโควิด) นั้นจะมีโอกาสน้อยกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ในการป่วยรุนแรงด้วยโควิด-19 เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนและผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อ และระบุต่อไปว่าผลการศึกษาดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการไปฉีดวัคซีน แม้ว่าผู้นั้นจะผ่านการติดเชื้อไปแล้ว
สำหรับผลการศึกษาดังกล่าวนั้นมีการเผยแพร่ลงบนวารสารทางการแพทย์ Lancet และมีการเปิดเผยหลังจากที่สถานการณ์โควิดทั่วโลกนั้นมีการระบาดพุ่งด้วยการมาถึงของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BF.7 และ XBB.1.5 โดยรายละเอียดการศึกษาระบุว่าการมีภูมิคุ้มกันผสมนั้นสามารถมอบภูมิคุ้มกันต่อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้ดีกว่าและยั่งยืนกว่าแค่การติดเชื้อหรือว่าการฉีดวัคซีนเพียงอย่างเดียว
“ภูมิคุ้มกันแบบไฮบริดนี้จะมีประสิทธิภาพและมีความทนทานสูงมากในแง่ของการกันอาการป่วยทุกรูปแบบ และการป้องกันโรคในระดับ 95 เปอร์เซ็นต์นี้จะสามารถคงอยู่ได้นานถึง 11 เดือน” รายงานระบุ และระบุต่อไปว่าภูมิคุ้มกันผสมดังกล่าวนี้หมายถึงการฉีดวัคซีนแบบครบโดส แล้วตามด้วยการติดเชื้อในระยะเวลา 4 เดือน และตามมาด้วยการฉีดวัคซีนบูสเตอร์อีกทีหนึ่ง
รายงานการศึกษายังได้ตั้งข้อสังเกตถึงภูมิคุ้มกันที่ลดลงทั้งจากภูมิคุ้มกันที่มาจากการติดเชื้อและมาจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดนั้นยังเป็นข้อกังวลที่สำคัญ ดังนั้นการฉีดวัคซีนให้ประชากรหมู่มากจึงยังคงเป็นเรื่องสำคัญอยู่ดี โดยช่วงเวลาที่ควรจะฉีดวัคซีนนั้นควรจะเป็นช่วงที่มีอุบัติการณ์ของผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก เช่นในช่วงฤดูหนาวเป็นต้น
รายงานระบุต่อไปด้วยว่าสำหรับช่วงเวลาการฉีดวัคซีนหลังจากการติดเชื้อครั้งสุดท้ายที่เหมาะสมที่สุด ควรจะเป็นระยะเวลา 6 เดือนหลังจากการติดเชื้อ
อย่างไรก็ตาม นางมาเรีย ฟาน เคอร์โคฟ เจ้าหน้าที่ WHO กล่าวว่าการที่ WHO พูดถึงภูมิคุ้มกันแบบผสมนั้นไม่ได้หมายความว่า WHO สนับสนุนให้มีการติดเชื้อแต่อย่างใด
“ดิฉันเคยพูดหลายครั้งแล้วและจะพูดต่อไปว่า ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้เพื่อเลี่ยงจาการติดเชื้อหรือการติดเชื้อซ้ำ การแสวงหาการติดเชื้อนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แม้คุณจะไม่ได้ป่วยหนักแต่คุณก็มีโอกาสอย่างยิ่งที่จะแพร่เชื้อให้กับคนอื่น” นางเคอร์โคฟกล่าว