ปชป.จัดเสวนา “เบื้องลึกทุนจีนสีเทา ตู้ห่าว" มาดามเดียร์ชี้เม็ดเงินนอกระบบอาจเข้าสู่การเมือง ขณะผู้กองแต้มชี้ทุนจีนสีเทามีนานกว่า 30 ปีแล้ว นับตั้งแต่แก๊งลูกหมู ชี้ 'ชูวิทย์' แค่สะกิดแผลให้แตก วัชระจี้ รบ.ทำเป็นวาระแห่งชาติ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวว่าเมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ มีการจัดกิจกรรม ฟัง-คิด-ทำ พร้อมทั้งมีการเสวนาพิเศษ “เบื้องลึกทุนจีนสีเทา ตู้ห่าว” โดย น.ส.วทันยา บุนนาค (มาดามเดียร์) กล่าวตอนหนึ่งว่า กรณีของตู้ห่าว แม้จะดูเหมือนว่าเป็นเพียงธุรกิจผิดกฎหมาย แต่จากการขายผลจะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจสีเทาของกลุ่มนักธุรกิจชาวจีน มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่าสนใจ การที่สามารถขยายรากฐานเครือข่ายธุรกิจสีเทาได้อย่างกว้างขวาง แท้จริงแล้วได้รับการสนับสนุนจากผู้มีสี หรือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหรือไม่ เป็นเรื่องที่ประชาชนกำลังตั้งคำถาม และยิ่งใกล้ถึงการเลือกตั้งในปี 66 มีการตั้งคำถามถึงเม็ดเงินนอกระบบ อาจจะถูกนำเข้าสู่ธุรกิจการเมือง หรือธนกิจการเมืองหรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์เห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว และจะช่วยแคะเบื้องลึกเบื้องหลังทุนจีนสีเทาเหล่านี้ ป้องกันการนำส่งเม็ดเงินเข้าสู่การเลือกตั้งในปี 66
ทางด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือผู้กองแต้ม อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า กลุ่มทุนจีนสีเทาส่อเค้ามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว โดยสมัยก่อนเข้ามาเป็นแก๊งลูกหมู และขายบริการทางเพศ โดยปลอมพาสปอร์ต ปลอมบัตรประชาชนไทย สมัยที่ตนรับราชการตำรวจได้กดดันกลุ่มเหล่านี้จนหายไป แต่สมัยนี้กลุ่มทุนจีนสีเทาพัฒนามากขึ้น โดยทำสถานบริการและคลับบาร์บังหน้า ค้าบริการทางเพศ ขายยาเสพติด และนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในประเทศไทย พัฒนาเป็นบ่อนการพนันออนไลน์ ค้าของเถื่อน คอลเซ็นเตอร์ ไปจนถึงการเรียกค่าไถ่นักธุรกิจจีนที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย กลุ่มทุนสีเทาเหล่านี้เจริญเติบโตได้ โดยการเข้าหาผู้มีอำนาจรัฐ นักการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง และบรรดาผู้กว้างขวางตามจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการเข้าหาเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง จึงทำให้มีเครือข่ายธุรกิจมากมาย ซึ่งกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาเปิดเผยเป็นการสะกิดแผล ทำให้หนองแตก ทั้งที่ปัญหาดังกล่าวนั้นมีมานานแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกระตือรือร้นที่จะเคลื่อนไหวตรวจสอบ ทั้งการปลอมบัตรประชาชน การค้าของเถื่อน
อย่างไรก็ตาม กรณีตู้ห่าวเข้ามาในประเทศไทยนานแล้ว ตั้งแต่สมัยตนปราบปรามกลุ่มทุนสีเทา ตอนนั้นตู้ห่าวยังทำธุรกิจพลอย ทำทัวร์ ก่อนที่จะก้าวมามีอำนาจอย่างในปัจจุบัน ทั้งนี้ คดีตู้ห่าวจะมองแค่เรื่องการเมืองไม่ได้ เพราะคดีนี้เป็นความผิดตามกฎหมายอยู่แล้ว ความผิดเฉพาะตัวตู้ห่าวยังมีอยู่ อย่ามองแค่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง แล้วไปลดน้ำหนักในคดี ทั้งนี้อยากให้จับตาดูเพราะตู้ห่าวและขบวนการเหล่านี้มีเงินเยอะมาก เข้าไปอยู่ในศูนย์อำนาจ ไปอยู่กับนักการเมือง พอมีเงินมากมีผู้มีอำนาจมาเกี่ยวข้องกระบวนการยุติธรรมจะเป๋ เหมือนมีตัวอย่างหลายๆคดี ดังนั้นตนกลัวอย่างยิ่งว่าคดีนี้จะจบไม่สวย ไม่รู้จะกลายเป็นการฟอกขาวให้ตู้ห่าวหรือไม่ หากไม่เอาจริงเอาจังอาจจะเป็นมวยล้มต้มคนดู สุดท้ายจะเอาผิดตู้ห่าวไม่ได้ เพราะขณะนี้ตู้ห่าวโดนแจ้งข้อหาแค่ฐานสมคบเกี่ยวกับยาเสพติด ยังไม่โดนข้อหาจำหน่วยยาเสพติด มียาเสพติดไว่ในครอบครอง ซึ่งจะเป็นมูลฐานของการฟอกเงินต่อไป
ส่วน นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ปชป. กล่าวตอนหนึ่งว่า โครงสร้างของรัฐไทยที่เอื้อประโยชน์กับการเข้ามาอิทธิพลของกลุ่มทุนเหล่านี้มี 3 ส่วน ทั้งด่านหน้า กระบวนการกลาง การจับกุมที่ล่าช้า โดยกลุ่มทุนเหล่านี้ชอบคบนักการเมืองและผู้มีอิทธิพล เพราะเขารู้ว่าประเทศไทยมีระบบอุปถัมภ์ สามารถใช้ช่องว่างตรงนี้เข้าไปสนับสนุน ไปขอรับการดูแลได้ ซึ่งการปลอมแปลงบัตรประชาชน โดยตนได้ข้อมูลมาว่าราคาบัตรประชาชนในไทยของคนจีนใบละ 500,000-1,000,000 บาท ส่วนความเกี่ยวข้องทางการเมือง มีความพยายามโยงนักการเมืองคนหนึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรี เพื่อกันไม่ให้เข้าเป็นเลขาธิการพรรคการเมืองหนึ่ง และพยายามเปิดโปงโครงสร้างเงินสีเทาไปเอี่ยวกับพรรคการเมืองบางพรรค กระทบชิ่งไปที่หัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่
ขณะที่ นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.กทม. กล่าวว่า เรื่องนี้ควรเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นกรณีมวยล้มต้มคนดู เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไม่ตั้งข้อหาฟอกเงินกับตู้ห่าวเลย อีกทั้งตนมีข้อมูลว่าในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีนายพลที่เคยเดินตามหลังตู้ห่าวมาก่อน แม้แต่เครื่องบินของตู้ห่าวในประเทศไทย ก็ไม่มีการจดทะเบียนในสารบบการบินของไทย ดังนั้นที่เหนือกว่าตู้ห่าวก็คือนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไม่ทุบโต๊ะเป็นวาระแห่งชาติ เรื่องทุนจีนสีเทาจะไม่จบ จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติในอนาคตหรือไม่ หากไม่แก้ในยุคนี้อานาคตลูกหลานจะอยู่อย่างไร ดังนั้นเรื่องนี้ต้องเป็นวาระแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหันมามองเรื่องนี้อย่างจริงจังอย่าได้ละเลย