ครม.เห็นชอบหลักการ ‘ร่างระเบียบสำนักนายกฯ’ กำหนดแนวปฏิบัติเจ้าหน้าที่ของรัฐ ‘รับ-ให้’ ของขวัญฉบับใหม่ ห้าม ‘เจ้าหน้าที่ของรัฐ’ ให้ของขวัญ ‘ผู้บังคับบัญชา-คนในครอบครัวผู้บังคับบัญชา’ เกิน 3,000 บาท/ครั้ง เพิ่มนิยาม ‘ของขวัญ’ ให้ครอบคลุม ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ พร้อมระบุหากรู้ตัวรับ ‘ของขวัญ’ ฝ่าฝืนระเบียบฯ ให้รายงานผู้บังคับบัญชาภายใน 30 วัน
...............................
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ... เพื่อปรับปรุงแนวทางปฏิบัติในการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมุ่งส่งเสริมกลไกการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ และให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2544
สำหรับร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ...ฉบับดังกล่าว มีสาระสำคัญ ประกอบด้วย การปรับปรุงบทนิยามของ ‘ของขวัญ’ ให้รวมถึงประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเพิ่มบทนิยามของคำว่าทรัพย์สินที่ให้เป็นของขวัญให้รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล
การปรับปรุงในเรื่องข้อห้ามในการปฏิบัติ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ของรัฐจะให้ของขวัญแก่ผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลในครอบครัวของผู้บังคับบัญชาไม่ได้ เว้นแต่เป็นการให้ตามปกติประเพณีนิยมซึ่งมีราคาหรือมูลค่าไม่เกิน 3,000 บาท จากผู้ให้แต่ละคนและแต่ละโอกาส ซึ่งเป็นการเพิ่มเรื่องการกำหนดจำนวนเงินเพื่อความชัดเจนเพื่อรู้ถึงมูลค่าของขวัญ จากระเบียบฉบับเดิมที่กำหนดเพียงว่า ของขวัญที่ให้นั้น ต้องมีราคาหรือมูลค่าไม่เกินจำนวนที่ ป.ป.ช. กำหนด
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ของรัฐ จะทำการใดๆเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดเพื่อมอบให้หรือจัดหาของขวัญให้ผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลในครอบครัวของผู้บังคับบัญชาไม่ได้ ซึ่งเป็นการขยายความการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้ครอบคลุมถึงทุกการกระทำ จากระเบียบเดิมกำหนดแต่เพียงว่าทำการเรี่ยไร่เงิน
ขณะเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลในครอบครัวของตนรับของขวัญอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐจากผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้ เว้นแต่เป็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลในครอบครัวของผู้บังคับบัญชารับของขวัญแทน รวมทั้งเพิ่มข้อยกเว้นเรื่องการรับทรัพย์สินฯให้สอดคล้องกับกฎหมาย ป.ป.ช.
ส่วนวิธีปฏิบัติในการรับของขวัญนั้น กรณีที่บุคคลในครอบครัวของเจ้าหน้าที่ของรัฐรับของขวัญแล้ว และเจ้าหน้าที่ของรัฐทราบในภายหลังว่าเป็นการรับของขวัญโดยฝ่าฝืนระเบียบนี้ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรายงานการรับของขวัญนั้นต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงผู้บังคับบัญชาสูงสุดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้ทราบ จากระเบียบฉบับเดิมที่กำหนดไว้ว่าให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ ป.ป.ช. กำหนดไว้
ทั้งนี้ เมื่อผู้บังคับบัญชาสูงสุดได้รับรายงานดังกล่าวแล้วและเห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบนี้ ให้มีคำสั่งคืนของขวัญนั้นแก่ผู้ให้โดยทันที และในกรณีที่ไม่สามารถคืนของขวัญได้ ให้ส่งของขวัญที่ได้รับให้เป็นสิทธิของหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดอยู่ และเก็บรักษาของขวัญนั้นไว้เป็นระยะเวลา 1 ปี เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว ให้เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานนั้น สั่งให้นำของขวัญออกขายและนำเงินที่ได้ส่งคืนเป็นรายได้แผ่นดิน
สำหรับบทลงโทษของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามร่างระเบียบฉบับนี้ เช่น ผู้บังคับบัญชาหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดจงใจปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ของขวัญหรือรับของขวัญ โดยฝ่าฝืนระเบียบนี้ ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยหรือไม่ประพฤติตนให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และให้ดำเนินการตามกฎหมาย กฎ ประมวลจริยธรรมฯ หรือมติครม.ที่เกี่ยวข้องต่อไป และเนื่องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ภายใต้ระเบียบนี้มีหลายประเภท จึงได้กำหนดบทลงโทษให้เป็นไปตามที่เจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทนั้นๆ สังกัดอยู่
ร่างระเบียบฯยังกำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่สอดส่อง ดูแลและให้คำแนะนำในการปฏิบัติตามระเบียบนี้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นผู้อยู่ในบังคับบัญชาของตน เป็นการเพิ่มหน้าที่ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งในการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ จากเดิมระบุว่าให้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) มีหน้าที่สอดส่องและให้คำแนะนำในการปฏิบัติตามระเบียบนี้แก่หน่วยงานของรัฐ
นอกจากนี้ ร่างระเบียบฯกำหนดด้วยว่า ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้วิธีการแสดงความยินดี การแสดงความขอบคุณ การต้อนรับ การแสดงความเสียใจ หรือกรณีอื่นๆในโอกาสต่างๆตามปกติประเพณีนิยมด้วยวิธีการอย่างอื่นแทนการให้ของขวัญ เช่น การใช้บัตรอวยพร การลงนามในสมุดอวยพร การสื่อสารผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือการทำกิจกรรมจิตอาสา และให้ผู้บังคับบัญชาส่งเสริมการสร้างค่านิยมการแสดงความยินดี ด้วยการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง แนะนำหรือกำหนดมาตรการจูงใจที่จะพัฒนาทัศนคติ จิตสำนึก และพฤติกรรมของผู้อยู่ในบังคับบัญชาให้เป็นไปในแนวทางประหยัด