'สื่อเมียนมา' ตีข่าว ตร.ไทยจับกุมพ่อค้าอาวุธให้กองทัพข้อฟอกเงิน-ยาเสพติด โยงเจ้าของมีเอี่ยวบริษัทโรงแรมไทยเจ้าของคาสิโนเมืองท่าขี้เหล็ก พนักงานสอบสวน นำตัวผู้ต้องหาฝากขังต่อศาลอาญาแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวอ้างอิงสำนักข่าวอิรวดีของเมียนมาว่า นายทุน มิน ลัต พ่อค้าอาวุธให้กับกองทัพเมียนมา และเจ้าของบริษัทสตาร์แซฟไฟร์ กรุ๊ป ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจับกุมในข้อหาฟอกเงินและยาเสพติด
รายงานข่าวของสำนักข่าวอิรวดียังได้อ้างอิงเอกสารข่าวแจกของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าจากกรณีเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 เวลา 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมหน่วยร่วมปฏิบัติที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันปิดล้อมตรวจค้นจำนวนหลายจุดและทำการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญตามหมายจับได้จำนวน 4 ราย ในข้อหาร่วมกันสมคบกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดฯ,ร่วมกันช่วยเหลือสนับสนุนการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และร่วมกันสมคบการฟอกเงินฯ โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นจำนวนหลายจุด เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในหลายพื้นที่ รวมถึงสามารถตรวจยึดทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท และได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับชายสัญชาติเมียนมา อายุ 53 ปี 1 ราย, จับกุมชายไทย อายุ 38 ปี 1 ราย, จับกุมหญิงไทย อายุ 44 ปี 1 ราย และจับกุมหญิงไทย อายุ 50 ปี 1 ราย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. เพื่อนำตัวดำเนินคดีและดำเนินการสืบสวนขยายผลบุคคลในเครือข่ายและทรัพย์สินตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องของกฎหมาย โดยในวันนี้ (20 กันยายน 2565) พนักงานสอบสวน บช.ปส. จะนำตัวผู้ต้องหาไปยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลอาญาเพื่อควบคุมไว้ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและสรุปสำนวนคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายในการป้องกันปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลักลอบลำเลียงขนยาเสพติดตามแนวชายแดนเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศไทยหรือในพื้นที่ชั้นใน โดยประสานการทำงานด้านการข่าวและข้อมูลยาเสพติดร่วมกับทหาร , ฝ่ายปกครอง, ปปส. และ ปปง. เพื่อขยายผลการจับกุม ถึงเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการนายทุนผู้อยู่เบื้องหลัง ตลอดจนดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์และตัดวงจรยาเสพติดให้สิ้นซาก
เพื่อเป็นการสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามยาเสพติดและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานทหาร, ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมได้เน้นย้ำให้เพิ่มความเข้มในการจับกุมและปราบปรามผู้ผลิต, ผู้ค้า และผู้ลำเลียงยาเสพติด ทั้งรายใหญ่และรายย่อยในทุกระดับ ดำเนินการซักถามและขยายผลเครือข่ายผู้ร่วมขบวนมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เน้นการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงขนส่งยาเสพติดจากพื้นที่ตามแนวชายแดนไม่ให้เข้ามาพื้นที่ชั้นในหรือแหล่งชุมชน รวมทั้งสถานศึกษาต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มมาตรการตั้งจุดตรวจหรือจุดสกัด เพื่อตรวจคัดกรองยานพาหนะและบุคคลต้องสงสัยอย่างเข้มงวด
รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากพนักงานสอบสวน บช.ปส. นำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลอาญา ก็จะเร่งรัดดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป (ดูเอกสารประกอบ)
ข้อมูลจาก Justice for Myanmar ระบุต่อไปอีกว่านายทุน มิน ลัต นั้นยังดำเนินกิจการร่วมทุนสัญชาติไทย-เมียนมา ที่ชื่อว่า Allure Group ซึ่งถูกก่อตั้งโดยนักธุรกิจอดีตสามีของนักการเมืองไทยที่ขายต่อให้บุคคลอื่นไปแล้ว
โดยบริษัท Allure Group นั้น เป็นบริษัทที่ขายไฟฟ้าให้กับเมืองท่าขี้เหล็กที่อยู่ริมชายแดนไทย-เมียนมา และบริษัทนี้ยังได้ดำเนินกิจการคาสิโนในดินแดนที่มีผู้เป็นเจ้าของคือสํานักงานผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพเมียนมาในท่าขี้เหล็ก
มีรายงานด้วยว่าบริษัทสตาร์ แซฟไฟร์ กรุ๊ปของนายทุนนั้นยังได้เข้าไปร่วมดำเนินธุรกิจกับกลุ่มธุรกิจที่เป็นของกองทัพเมียนมาและยังมีส่วนในการจัดหาอุปกรณ์และยุทธภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับกองทัพอากาศเมียนมา ซึ่งรวมไปถึงโดรนที่ผลิตในอิสราเอล และชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องบินต่างๆ
โดยบทความในสำนักข่าวนิกเกอิของญี่ปุ่นระบุว่านายทุน มิน ลัต นั้นมีส่วนในการเจรจากับบริษัท VPower เพื่อให้มีการก่อสร้างโครงการผลิตไฟฟ้าจากแก๊ส LNG ในพื้นที่ท่าเรือติลาวา เมืองย่างกุ้งซึ่งอยู่ภายใต้ความครอบครองของรัฐวิสาหกิจ MEHL ของกองทัพเมียนมา
รายงานข่าวระบุต่อไปอีกว่าสำหรับบริษัทสตาร์แซฟไฟร์ของนายทุนนั้นพบว่าเป็นบริษัทร่วมทุนกับกองทัพเมียนมาดำเนินการในกิจการเหมืองนับตั้งแต่ปี 2544 และนางคิน ธีรี เทตมอน ลูกสาวของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำเผด็จการทหารเมียนมาก็มีส่วนในบริษัทนี้เช่นกัน
@ อุปกิต เคยยื่นบัญชีทรัพย์สิน ไม่เกี่ยวข้องธุรกิจโรงแรมท่าขี้เหล็ก
อนึ่งก่อนหน้านี้เมื่อปี 2562 สำนักข่าวอิศรา เคยรายงานไปแล้วว่า นายอุปกิต ปาจรียางกูร นักธุรกิจชื่อดัง สามีเก่า น.ส.ปารีณา ไกรคุป เคยแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินช่วงน.ส.ปารีณา กรณีพ้นตำแหน่ง ส.ส.ราชบุรี พรรคชาติไทยพัฒนา เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2562 ระบุตอนหนึ่งว่า มีเงินลงทุน 2 รายการ วงเงิน 375,440,000 บาท ได้แก่ Allure Group Co.Ltd ซึ่งเป็นธุรกิจโรงแรมท่าขี้เหล็กในประเทศเมียนมา และบริษัท อันดามันพาวเวอร์แอนด์ ยูทิลิตี้ จำกัด
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่า เอกสารประกอบบัญชีทรัพย์สินของนายอุปกิต ทำหนังสือเรียนชี้แจงต่อเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีการขายธุรกิจโรงแรมท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ลงวันที่ 7 ส.ค. 2562
ข้อความตอนหนึ่งของเอกสารดังกล่าวระบุว่า ข้าพเจ้าขอเรียนแจ้งข้อเท็จจริงการขายโรงแรมของข้าพเจ้า ดังนี้ ข้าพเจ้าได้ขายโรงแรม Allure Resort Hotel Tachileik Myanmar ตั้งอยู่ในสหภาพเมียนมา เนื่องจากต้องการให้ปราศจากข้อครหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม อีกทั้งไม่ได้เข้าไปดูที่โรงแรมมาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว จึงตัดสินใจขายกิจการโรงแรมออกไปก่อนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ส.ว.
โดยในเอกสารชี้แจงของนายอุปกิตยังเปิดเผยด้วยว่า ได้รับการชำระเงินค่าโรงแรมดังกล่าวในต่างประเทศ โดยเข้าบัญชีธนาคาร B.I.C. (CAMBODIA) BANK PLC. เลขบัญชีที่ 00001-01-000083-09 เป็นเงินทั้งสิ้น 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 251,672,000 บาท) จึงขอยื่นบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติมในการรับการชำระเงินค่าโรงแรมดังกล่าว ส่วนบุคคลที่ซื้อโรงแรมต่อจากนายอุปกิต มีสัญชาติไทย
เรียบเรียงจาก:https://burma.irrawaddy.com/news/2022/09/21/254708.html
@ รับรู้จัก 'นายหน้าค้าอาวุธ' แต่ไม่เกี่ยวข้องเรื่องไม่ดี
ล่าสุด นายอุปกิต ปาจรียางกูร ออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนถึงกรณีนี้ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดของข่าว ขอเวลาไปตรวจสอบ สัญญาว่าจะชี้แจงอย่างแน่นอน แต่ยอมรับว่ารู้จักกับนายหน้าค้าอาวุธที่เกี่ยวโยงกับขบวนการจริง ผ่านการทำธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้าด้วยกัน
"ขอไปตรวจสอบที่มาของข่าวก่อน และไม่ปฏิเสธว่าเคยมีธุรกิจโรงแรม ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เคยชี้แจงมาแล้วหลายครั้ง ไม่เคยปิดบังข้อมูล แต่ได้ขายกิจการไปแล้วก่อนเข้ารับตำแหน่ง ส.ว.และไม่ได้เหยียบเข้าไปจังหวัดท่าขี้เหล็กประมาณ 8 ปีแล้ว ไม่เคยเหยียบเข้าไปสักครั้งหนึ่ง ผมมาทางพุทธศาสนาอย่างเต็มตัว ไม่เคยปฏิเสธว่าผมไม่เคยเป็นเจ้าของอะไรทั้งสิ้น" นายอุปกิต กล่าว
นายอุปกิต ยังยืนยันว่า ไม่มีธุรกิจใน จ.ท่าขี้เหล็ก แล้ว และจะออกมาให้ข้อมูลอีกครั้งภายในพรุ่งนี้ (23 ก.ย.65) พร้อมยืนยันว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา และเล่าย้อนถึงประวัติครอบครัวว่าเป็นครอบครัวเก่าแก่ เชื่อว่านายหน้าคนดังกล่าวก็ไม่เคยทำธุรกิจสีเทาเช่นเดียวกัน มองว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด และการขายกิจการของตนนั้น มีที่มาที่ไป สามารถชี้แจงได้ ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ชี้แจงกับ ป.ป.ช.ไปแล้ว
"ชี้แจงไปแล้วกับ ป.ป.ช.100% ก่อนมารับตำแหน่ง ส.ว.ผมจะไม่ชี้แจงได้อย่างไร ที่ผมชี้แจงเพราะผมไม่เคยปิดบังว่าเป็นเจ้าของตรงนี้" นายอุปกิต กล่าว
นายอุปกิต กล่าววอีกว่า ขอความกรุณามองในแง่ดี ว่าตนสามารถทำธุรกิจหลายอย่างได้ในประเทศเพื่อนบ้าน แสดงว่าก็ได้รับการไว้วางใจพอสมควร ตนมั่นใจว่าไม่มีการข้องเกี่ยวเรื่องไม่ดี
(อ้างอิงข่าวส่วนนี้ จาก แนวหน้า https://www.naewna.com/politic/681668?fbclid=IwAR3EhCJMoc6PPaHtAc20Tm86gFVXg4mFv0VH191hMXnjTztD9S1UIp_6hKE)
อ่านประกอบ: