แพร่ระเบียบ กกต. 7 ข้อ ห้าม ครม.ใช้ทรัพยากรของรัฐระหว่างยุบสภาหรือครบวาระ เพื่อสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง ขณะที่ระเบียบลงนามตั้งแต่ปี 63 แต่เพิ่งมีผลใช้บังคับ 16 ส.ค.65
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2565 ราชกิจจานุเบกษา แพร่ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ เพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ.2563 ระบุว่า โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้กรณีที่คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะเหตุอายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้น ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามเงื่อนไข จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ และกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วางระเบียบเกี่ยวกับข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่ของ ครม. ขณะอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว โดยคำนึงถึงการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และคำนึงถึงความสุจริต เที่ยงธรรม ความเสมอภาค และโอกาสทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ของ ครม.ในระหว่างที่อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ต้องไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งด้วยวิธีการ ดังต่อไปนี้
1.ใช้ทรัพยากรของรัฐ หรือบุคลากรของรัฐ โดยการกำหนดนโยบาย โครงการ แผนงาน โดยให้มีผลบังคับใช้ในทันที และมีลักษณะเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมในการเลือกตั้ง
2.จัดให้มีการประชุม ครม.นอกสถานที่นอกเหนือจากการประชุมตามปกติ และมีการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง
3.กำหนด สั่งการ หรือมอบหมายให้มีการประชุม อบรม หรือสัมมนาบุคลากรของรัฐหรือเอกชน โดยใช้เงินงบประมาณของหน่วยงานของรัฐหรือเงินของกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ โดยอาจให้มีการแจกจ่ายทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เว้นแต่เป็นการประชุมตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน แต่ต้องมิใช่การสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง
4.กำหนด สั่งการหรือมอบหมายให้มีการอนุมัติ โอนหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานของรัฐหรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือใช้หน่วยงานของรัฐหรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ทำการแจกจ่ายทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้แก่ประชาชน เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน แต่ต้องมิใช่เป็นการสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง
5.กำหนด สั่งการหรือมอบหมายให้มีการแจกจ่าย หรือจัดสรรทรัพยากรของรัฐให้แก่บุคคลหนึ่ง บุคคลใด โดยไม่มีเหตุอันสมควร เว้นแต่เป็นกรณีต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด หรือมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน แต่ต้องมิใช่เป็นการสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง
6.ใช้พัสดุหรือเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากหน่วยงานรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่หรือใช้บุคลากรของรัฐปฏิบัติงานเพื่อสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตัง
7.ใช้ทรัพยากรของรัฐ เช่น คลื่นความถี่ หรือเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม หรือใช้งบประมาณด้านการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ที่จะเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมในการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ กรณีใดที่มิได้กำหนดไว้หรือมีเหตุจำเป็น กกต.อาจกำหนดยกเว้นหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามความในระเบียบนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระเบียบ กกต.ฉบับดังกล่าว นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ได้ลงนามในประกาศตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.2563 แต่สาระสำคัญในข้อ 2 ระบุว่า ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งเท่ากับว่าระเบียบฉบับนี้เพิ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.2565
ขณะที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมชัย ศรีสุทธิยากร ระบุว่า ไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย มีแต่เสียงปี่ เสียงกลอง อยู่ดี ๆ กกต. ก็ควักระเบียบ กกต.ที่ห้ามรัฐมนตรี ใช้ทรัพยากรของรัฐในระหว่างยุบสภา หรือ ในช่วงที่สภาครบวาระ และ ครม. เป็น ครม.รักษาการ ว่าห้ามทำอะไรในช่วงดังกล่าวบ้างออกมาประกาศในราชกิจจานุเบกษาประธาน กกต. ลงนามตั้งแต่ 28 ต.ค.2563 ราชกิจจานุเบกษาเพิ่งนำมาลง 15 ส.ค. 2565