'อนุทิน' เผย คกก.โรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบลดระบดับโควิดจากโรคติดต่ออันตรายเปลี่ยนเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เริ่ม 1 ต.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ สธ. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2565 ว่า สาระสำคัญจากที่ประชุม 4 เรื่อง ดังนี้
1) เห็นชอบนโยบายการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 หลังการระบาดใหญ่ (Post Pandemic) ที่สามารถควบคุมและลดอัตราเจ็บป่วยได้ มีระบบสาธารณสุขรองรับได้ เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารยา ได้สื่อสารไปยังโรงพยาบาล (รพ.) ต่างๆ ทุกสังกัด อนุญาตให้จัดหายาต้านไวรัสเอง ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 เป็นต้นไป ซึ่งสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เหมือนกับโรคติดเชื้ออื่นๆ ประชาชนสามารถรักษาได้ตามสิทธิ
2) เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย พ.ศ. … และร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โดยพิจารณาปรับโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโรคให้ปัจจุบัน
3) รับทราบสถานการณ์และการเฝ้าระวังสายพันธุ์ในประเทศไทย ที่มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อมากขึ้น แต่ประชาชนมีความเข้าใจกับโรคมากขึ้น โรคไม่รุนแรง สามารถดูแลตนเองได้ที่บ้าน (HI) รับประทานยาตามแพทย์สั่งจ่าย มีเวชภัณฑ์ดูแลประชาชนเพียงพอ
“เราไม่ได้ขาดแคลนยา เราต้องดูว่าแพทย์มีดุลยพินิจอย่างไร ไม่ใช่ผู้ป่วยโควิด-19 ทุกคน จะได้รับยาต้านไวรัส สธ.มีการจัดส่งยาไปที่เขตสุขภาพ ไม่เคยขาดยา แต่หากมีที่ใดต้องการยา ก็ให้แจ้งมาเพื่อให้แต่ละเขตสุขภาพได้รับจัดสรรยาไปสำรองไว้ อาจเป็นเรื่องการสื่อสารที่ผิดพลาด แต่เราไม่เคยขาดเวชภัณฑ์ใดๆ” นายอนุทิน กล่าว
4) ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์โรคฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง (Monkeypox) มีความเห็นว่า ไทยยังควบคุมสถานการณ์ได้ มีการสั่งซื้อวัคซีนป้องกันให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยง ตลอดจนผู้ที่มีความเสี่ยงหรือผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ปัจจุบัน ทั่วโลกยังไม่ได้ฉีดวัคซีนฝีดาษอย่างแพร่หลายเหมือนกับโควิด-19 หรือไข้หวัดใหญ่ ยังใช้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามความเสี่ยง โดยผู้ป่วยทั้ง 4 รายของไทย มีประวัติเสี่ยงชัดเจน จากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงก็ยังมีผลเป็นลบอยู่
ผู้สื่อข่าวถึง การลดระดับโควิด-19 เหลือเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง จะกระทบต่อประชาชนหรือไม่ รวมถึงวัคซีนจะฟรีหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ใช่ ตามนิยาม แต่ไม่ใช่โรคประจำถิ่น แต่ด้วยโรคติดต่ออันตรายที่มีขั้นตอน ใช้ทรัพยากรที่ค่อนข้างมาก ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นระดับหนึ่ง ผู้ติดเชื้ออาการไม่รุนแรง จำนวนการใช้เครื่องมือในสถานพยาบาลอยู่ในระดับควบคุมได้ ดังนั้น กรมควบคุมโรคเห็นว่า สมควรลดระดับการเฝ้าระวัง แต่ไม่ได้แปลว่า ไม่ดู ไม่สนใจ โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ดำเนินการได้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
“ไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับประชาชน ยังเข้าถึงระบบสาธารณสุข ได้รับการรักษา ส่วนวัคซีนเข็มกระตุ้น (บูสเตอร์ โดส) ก็ยังฟรีอยู่ แต่ก็จะพิจารณาเป็นปีต่อปี ในที่ประชุมก็ได้คุยกันเรื่องอนาคตที่จะมีวัคซีนโควิด-19 รวมกับโรคอื่นได้ น่าจะมียาที่ออกฤทธิ์รวดเร็วได้ มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น เราก็จะต้องหลุดพ้นจากบ่วงโควิด เดินหน้าในมิติอื่นได้ด้วยความมั่นคง” นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามว่า การเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง สามารถถอดหน้ากากอนามัยได้หรือไม่ รวมถึงจะมีการผ่อนมาตรการใดเพิ่ม นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ผ่อนคลายแล้ว ส่วนการสวมหน้ากาก ตนก็ได้ถามในที่ประชุมไปแล้ว แต่ก็ขอให้กรมควบคุมโรคพิจารณาในรายละเอียดก่อน