สธ.เผยไทยแนวโน้มติดเชื้อพุ่ง แต่อาการหนัก-ตายน้อยลง ยกเคส 'โจ ไบเดน' โควิด รีบาวด์ ป่วยซ้ำ แนะอย่าซื้อยาต้านไวรัสกินเอง เสี่ยงดื้อยา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2565 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงรายงานสถานการณ์โควิด-19 ว่า มีผู้ป่วยอาการปอดอักเสบ 879 ราย ที่รักษาในโรงพยาบาล และผู้ใส่ท่อช่วยหายใจ 457 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจาก 2 วันที่แล้ว ส่วนผู้เสียชีวิต 19 ราย ก็ลดลงต่อเนื่อง จากที่เคยพบวันละ 30 ราย ติดต่อกัน
สอดคล้องกับภาพรวมโควิด-19 ทั่วโลก ที่สัปดาห์นี้เริ่มคงที่ แต่ด้วยระบบการรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ บางประเทศไม่ได้ตรวจผู้ติดเชื้อทุกคนแล้ว
ดังนั้น การติดตามข้อมูลตัวเลขรายใหม่ต้องแปลผลด้วยความระวัง แต่ตัวเลขที่ติดตามสถานการณ์ได้ดี คือ ผู้เสียชีวิต ซึ่งแนวโน้มของไทยค่อนข้างคงที่และแนวโน้มลดลง ทั้
งนี้ ผู้ป่วยที่รักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ยังค่อนข้างมาก สัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานจากระบบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 201,554 ราย
อย่างไรก็ตาม ผู้เสียชีวิต 19 รายใหม่ ยังเป็นกลุ่ม 608 ทั้งหมด โดยเป็นผู้ที่ไม่รับวัคซีนโควิด-19 แม้แต่เข็มแรกมีถึง 9 ราย คิดเป็นร้อยละ 47 ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 32 และรับเข็มกระตุ้น แต่นานมากกว่า 3 เดือนอีก 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 21
“ด้วยเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.4 และ BA.5 เป็นสายพันธุ์หลักของการระบาดในรอบนี้ ส่วนใหญ่ดื้อต่อวัคซีน ฉะนั้น การฉีดเข็มกระตุ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ซึ่งต่อไปนี้การฉีดเข็ม 3, 4 หรือ 5 เราจะเรียกว่า เข็มกระตุ้น หากฉีดเข็มสุดท้ายนานเกิน 3 หรือ 4 เดือน ก็สามารถติดต่อขอรับเข็มกระตุ้นได้” นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวถึงฉากทัศน์การระบาดโควิด-19 ว่า ตามที่คาดการณ์ผู้ป่วยใหม่รายวัน ขณะนี้ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์เส้นสีเขียว แปลว่า ระบบสาธารณสุขรองรับได้ค่อนข้างดี หลายหน่วยงานให้ข้อมูลตรงกันว่า เตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักได้ เนื่องจากจำนวนไม่ได้ตามจำนวนติดเชื้อใหม่ เพราะการฉีดวัคซีนค่อนข้างมากแล้ว จึงคาดว่าสถานการณ์จะคงที่และค่อยๆ ลดลง ฉะนั้น สถานการณ์ตอนนี้เป็นตามคาดการณ์ไว้ คือ ผู้ติดเชื้อใหม่จะเพิ่มขึ้นและเริ่มคงตัว สำหรับผู้ที่อาการหนักและเสียชีวิตก็จะมีแนวโน้มคงตัวและลดลงใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
“ในช่วงวันหยุดยาวมีพี่น้องที่เดินทางไปต่างจังหวัดเยอะ จึงต้องติดตามสถานการณ์ในต่างจังหวัดว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นหรือไม่ ฉะนั้น ขอให้ประชาชนดำเนินตามมาตรการ 2U คือ Universal Prevention and Vaccination คือป้องกันตัวเองสูงสุดและการฉีดวัคซีน” นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวว่า สำหรับแนวทางการใช้ภูมิคุ้มกันโควิด-19 สำเร็จรูป (LAAB) บางคนอยากเรียกว่า ยามากกว่าวัคซีน ข้อดีคือ ฉีดเข้าร่างกายเพื่อสร้างภูมิฯ ต่อเชื้อโรคโดยตรง อยู่ได้นานถึง 6 เดือน ฉะนั้น ประโยชน์ของ LAAB เหมาะกับผู้ที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไม่ดี โดย 1 กล่อง จะมียา 2 ขวด ฉีดพร้อมกันทีเดียวบริเวณสะโพก ข้อบ่งใช้เพื่อป้องกันติดเชื้อในกลุ่มผู้ที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี และเปิดกว้างไว้สำหรับแพทย์ใช้ดุลยพินิจในการให้ยากับผู้ป่วยบางกรณี
เบื้องต้น ใช้ในผู้อายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไป น้ำหนักมากกว่า 40 กิโลกรัมขึ้นไป โดยเป้าหมายใน 1.กลุ่มผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ต้องฟอกเลือด 2.ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ ที่ได้รับยากดภูมิฯ อย่างไรก็ตาม การให้ยาดังกล่าวให้ขึ้นตามพินิจของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร ซึ่งยาจะถึงพื้นที่อย่างช้าในสัปดาห์นี้ 7,000 โดส โดยกำหนดทางผู้ผลิตจะส่งมอบยา 2.5 แสนโดส ภายใน 2 เดือน ส่วนกลางก็จะกระจายตามระยะ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สามารถติดต่อกับแพทย์ที่ดูแลการป่วยเพื่อรับยาได้
นพ.โอภาส กล่าวถึงกรณีผู้ป่วยโควิด-19 บางรายที่มีอาการน้อย แต่อยากได้รับยาต้านไวรัส ว่า สำหรับยาต้านไวรัสเป็นวิธีหนึ่งในการรักษา แต่คนที่แข็งแรง รับวัคซีนครบ ส่วนใหญ่อาการน้อย ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส วิธีรักษาจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และย้ำว่า ยาต้านไวรัสเป็นสารเคที่มีทั้งผลดีและผลเสีย หากใช้ไม่ถูกก็เกิดผลเสียระยะยาวได้
“ขณะนี้ เราเจอปรากฎการณ์ใหม่ คือ การรีบาวน์ (Rebound) ตามข่าวที่เกิดขึ้นกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่ติดเชื้อโควิด-19 ได้รับยาต้านไวรัสแพกซ์โลวิด แล้วเหมือนจะหายดี แต่ก็กลับมาเป็นไข้ใหม่ได้ แล้วพบเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น เป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่เราเพิ่งรู้จักเมื่อไม่นานมานี้ เป็นการรีบาวน์การเกิดเชื้อ สมมติฐานว่า อาจเกิดจากการที่รับยาต้านไวรัส แต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อในร่างกายให้หมดไป พอหยุดยา เชื้อก็กลับมาแบ่งตัวขึ้นใหม่ แต่รายละเอียดต้องติดตามต่อไป” นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวด้วยว่าว่า สำหรับการให้ยาต้านไวรัสที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกวิธี ไม่เหมาะกับคน แทนที่จะให้ข้อดี แต่ให้ข้อเสียในเรื่องการดื้อยา ซึ่งปรากฎการณ์เหล่านี้ อาจเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้ ฉะนั้น การพิจารณาเลือกยาขอให้เป็นดุลยพินิจของแพทย์ และคนทั่วไปไม่จำเป็นต้องกินยาทุกคน