ศาลเลื่อนอ่านฎีกา ‘ธาริต เพ็งดิษฐ์’ กับพวกเป็นครั้งที่ 4 คดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แจ้งข้อหา ‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’ สั่งฆ่าประชาชน เหตุส่งหมายไม่ได้ นัดใหม่ 7 ก.ย.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2565 ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 4 คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หมายเลขดำ อ.310/2556 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) , พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 , พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานเป็นร่วมกันเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคสอง
กรณีเมื่อระหว่างเดือน ก.ค. 2554 - 13 ธ.ค.2555 จำเลยทั้งสี่ในฐานะพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สอบสวน ได้ตั้งข้อหากับโจทก์ทั้งสองข้อหาสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ต้องรับโทษ จากการที่ ศอฉ.ออกคำสั่งให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ที่ชุมนุมขับไล่นายอภิสิทธิ์ ให้ออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี
คดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา
จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกาโดยจำเลยที่ 1 ยื่นว่ามีพยานหลักฐานใหม่ในคดีขอให้ศาลฎีกาพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายธาริต ขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาฎีกาออกไปเเล้ว 3 ครั้งโดยแจ้งต่อศาลเกี่ยวกับเรื่องเจ็บป่วย
นัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาวันนี้ ทนายโจทก์ที่1-2 จำเลยที่ 2-4 ทนายจำเลยที่ 1 พนักงานอัยการในการในฐานะทนายจำเลยที่ 3,4 และในฐานะผู้รับมอบฉันทะทนายจำเลยที่1,2 และผู้รับมอบอำนาจนายประกันจำเลยทั้งสี่มาศาล ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่มา
ศาลตรวจสำนวนแล้วพบว่าไม่สามารถส่งหมายแจ้งวันนัดให้กับจำเลยที่ 1 ได้ เนื่องจากย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่ ปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 20 มิ.ย.2565 ทนายจำเลยที่ 1 แถลงยืนยันจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่เเห่งหนึ่ง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้ทนายจำเลยที่ 1 และนายประกันจำเลยทั้งสี่สืบหาภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 แล้วแถลงต่อศาลภายใน 7 วันนับแต่วันนี้ ให้ส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 ใหม่เป็นหมายศาล โดยให้มีหนังสือถึงศาลจังหวัดที่จำเลยที่ 1มีภูมิลำเนาในเขตศาลเป็นผู้ดำเนินการส่งให้ การส่งหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดและแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 ทราบด้วยวิธีปิดประกาศทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและปิดประกาศหน้าศาลอีกทางหนึ่งด้วย กรณีมีเหตุอันสมควรให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาวันที่ 7 ก.ย.65 เวลา 09.00 น.
นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความโจทก์ กล่าวว่า คดีนี้ดีเอสไอได้ทำสำนวนคดีว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช.มีเหตุความรุนแรง ต่อมาเมื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ดีเอสไอก็ได้ทำสำนวนคดีใหม่ โดยมาสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ปรากฏว่าศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกายกฟ้อง ทั้งสองคนจึงมาฟ้อง นายธาริต กับพวกรวม 4 คน ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในที่สุดศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วให้ยกฟ้อง จากนั้นนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็ได้อุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โดยเห็นว่าเป็นการทำสำนวนคดีกลับไปกลับมา จึงพิพากษาว่าเป็นความผิดตามฟ้อง จำคุกจำเลยคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ส่วนวันนี้เป็นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2565 นายธาริต ได้ยื่นคำร้องอ้างว่ามีข้อเท็จจริงใหม่พร้อมกับวางเงิน 6 แสนบาท เพื่อจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์ทั้งสอง แต่ฝ่ายโจทก์คัดค้าน ขณะที่วันนี้ปรากฏว่า ศาลส่งหมายให้กับนายธาริตยังไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์แจ้งว่า “ส่งไม่ได้ เขาย้ายไม่ทราบที่อยู่”
ขณะที่ทนายความนายธาริต ยืนยันว่า นายธาริตยังอยู่ที่เดิม ภูมิลำเนา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ศาลจึงต้องให้เจ้าหน้าที่ส่งหมายศาลไปอีกครั้ง ถ้าหากส่งไม่ได้อีก ก็ให้ติดหมายไว้โดยเจ้าหน้าที่ศาล ให้ประกาศทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ และให้ประกาศหน้าศาล พร้อมกับบังคับนายประกันว่าให้แถลงภูมิลำเนาของนายธาริต ทั้งนี้ได้กำชับนายประกัน และจำเลยอื่นให้ติดต่อนายธาริต และเลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกาออกไปเป็นวันที่ 7 ก.ย.นี้ ส่วนในครั้งหน้าจะมีเหตุให้เลื่อนคดีอีกหรือไม่นั้น เป็นเหตุในอนาคต ไม่อาจจะตอบได้ ซึ่งที่ผ่านมามีเหตุเรื่องเป็นลมหมดสติเข้าโรงพยาบาล และติดไวรัสโควิด-19 ตนมองว่าการเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่ทั้งนี้ก็อยู่ในดุลยพินิจของศาลว่าจะดำเนินการอย่างไร