สธ.-คค.-กก. ผนึกกำลังสร้างความมั่นใจ รับฟังความเห็นจากภาคธุรกิจท่องเที่ยว เตรียมความพร้อมเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านโควิดสู่โรคประจำถิ่น เน้นผ่อนคลายมาตรการที่ไม่จำเป็น ย้ำยังต้องเข้มป้องกัน-วัคซีนเข็มกระตุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน Meet & Greet “Thailand Moving Together : กอด กิน บิน เที่ยว ใช้ชีวิตใกล้ชิดอีกครั้ง” พร้อมด้วย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
นายอนุทิน กล่าวว่า ช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว สถานที่แห่งนี้ คือ อิมแพคเมืองทองธานี เป็นที่ตั้งของ รพ.บุษราคัม ขนาด 4 พันเตียง มีการเปิดรพ.สนามที่แห่งนี้ ซึ่งต้องขอขอบคุณท่านผู้ว่าฯจังหวัดนนทบุรี มีความกรุณาประสานงานในการเปิดรพ.สนาม ทำให้ดูแลผู้เจ็บป่วยโควิดได้อย่างมาก ส่งผลให้สถานการณ์ในกทม. และปริมณฑลคลี่คลายอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขได้รับการร่วมมือจากภาคประชาชน ภาคเอกชนทั้งธุรกิจการโรงแรม การท่องเที่ยว การขนส่ง ร้านอาหารปฏิบัติตามคำแนะนำในช่วงล็อกดาวน์มาตลอด รวมทั้งยังขอให้พนักงานมาฉีดวัคซีน ทำให้เราสามารถมายืนอยู่ในระดับนี้ได้ ซึ่งหากถือว่าสำเร็จก็ต้องถือว่าเป็นความสำเร็จจากพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน
"วันนี้ผมเชื่อว่า รัฐบาลได้สามารถนำพาประเทศเราเข้าสู่ภาวะแบบปกติใหม่ หรือที่เรียกว่า New normal way of life จึงได้มีการจัดงาน Meet & Greet Thailand Moving Together กอด กิน บิน เที่ยว ใช้ชีวิตใกล้ชิดอีกครั้ง ซึ่งเป็นเวลากว่า 2 ปีที่เราใช้ชีวิตในรูปแบบของความระมัดระวัง การเว้นระยะห่าง ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวจึงต้องเผชิญความยากลำบากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การปิดประเทศ การตั้งมาตรการต่างๆ ที่จะทำให้ประเทศไทยมีความปลอดภัยสูงสุด แต่ก็ต้องแลกด้วยการชะลอตัวของกิจการต่างๆ ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลเข้าใจถึงความลำบากนี้ ไม่มีวินาทีไหนนิ่งนอนใจ" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานในกำกับของตน ในฐานะรองนายกฯ ทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกันทำงานเพื่อให้เกิดความสมดุล ระหว่างการควบคุม ป้องกันโรค และการเปิดรับนักเดินทางเข้าออกประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอ ศบค. ให้ออกมาตรการผ่อนคลายมาตรการต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ประกอบการ และเพื่อให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวกลับมาดำเนินการการทางเศรษฐกิจอย่างมั่นใจ
“ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกมาตรการเข้าประเทศรูปแบบ Test & Go นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้อย่างเสรี ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น เริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น” นายอนุทินกล่าว
ช่วงเปลี่ยนผ่านโรคโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เรามีความมั่นใจว่าจะมีการเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุขจึงรับเป็นเจ้าภาพใหญ่ในการจัดงานครั้งนี้ และได้เชิญตัวแทนสมาคม หน่วยงาน ผู้ประกอบการท่องเที่ยว การบริการร้านอาหาร โรงแรม และการคมนาคมมาให้ข้อคิดเห็น และวางแผนร่วมกันในการจัดทำมาตรการด้านสาธารณสุข เพื่ออำนวยความสะดวกและความมั่นใจต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและคมนาคมขนส่ง
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เพื่อเตรียมความพร้อมการเปลี่ยนผ่านโรคโควิด 19 เข้าสู่โรคประจำถิ่น ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดงานดังกล่าวขึ้น โดยเชิญตัวแทนสมาคมหรือหน่วยงานผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยว บริการ ร้านอาหาร โรงแรมและการคมนาคม รวม 22 สมาคม เพื่อรับฟังความคิดเห็นและวางแผนร่วมกัน (Hearing & Solution) ในการจัดทำมาตรการสาธารณสุขต่าง ๆ เสนอต่อที่ประชุม ศบค.ต่อไป เพื่ออำนวยความสะดวก สร้างความมั่นใจต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและคมนาคม และให้คนไทยกลับมามีชีวิตอย่างปกติสุข โดยอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย
นายอนุทินกล่าวว่า การรับฟังความคิดเห็นเบื้องต้น พบว่า ตัวแทนทั้งภาครัฐและผู้ประกอบการ ต่างแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันเสนอแนวทางเพื่อพาประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตบนความปลอดภัยของประชาชน กระตุ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ปลดล็อกมาตรการที่ไม่จำเป็นต่างๆ เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นต่อไป โดยผู้ประกอบการต้องการให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ แจ้งแผนนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวล่วงหน้า เพื่อให้สามารถเตรียมพร้อมและปรับตัวได้ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเดินทางได้สะดวกและรวดเร็ว และให้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ออกมาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ และออกคำแนะนำประชาชนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมระบบการรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ ได้แก่ เตียงพอ ยาพอ และหมอพอ
มีการสำรองยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันร่างกายส่วนบุคคลไว้อย่างพอเพียงในการรับมือกับการระบาดซ้ำ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการทางสังคมมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ คือ ต้องเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรการ 2 U คือ Universal Prevention ป้องกันการติดโรค ด้วยการเว้นระยะห่าง และล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่อากาศปิดหรือแออัด ตรวจหาเชื้อโควิด 19 เมื่อจำเป็น เช่น เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการสงสัย และ Universal Vaccination ขอความร่วมมือมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันให้มีความปลอดภัยกับการใช้ชีวิต ดังนั้น การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวนี้ ขอให้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับ
การระบาดซ้ำของโควิด หากได้รับวัคซีนตามคำแนะนำ แม้ว่าติดเชื้อก็จะไม่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต
"อย่างผมรับวัคซีนโควิดเข็มที่ 6 เพราะผมต้องเดินทางตลอดเวลา พบปะพี่น้องประชาชน อสม. เดินทางไปโรงพยาบาล ทางท่านอธิบดีกรมควบคุมโรค และท่านปลัดสธ.ขอให้ผมรับวัคซีนเข็มที่ 6 นี่คือ การรับเข็มกระตุ้น ไม่มีกฎตายตัว ขึ้นกับสถานการณ์แต่ละคน แต่ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาล กระทรวงสาธารณสุขมีวัคซีนเพียงพอ ขอให้มารับวัคซีน อย่าไปคิดว่า โรคโควิดลดความรุนแรงลงแล้ว ไม่ต้องฉีดวัคซีนเพิ่มก็ได้ เกรงกลัววัคซีน เป็นความคิดที่ผิด การรับวัคซีนเข็มกระตุ้นทำให้เรามีสถานการณ์เช่นนี้ โรคโควิดทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเรามีภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตส่วนใหญ่พบว่ามาจากไม่รับวัคซีนโควิด และเป็นผู้สูงอายุ" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงสาธารณสุขใช้แนวคิดการทำงานคือ HEALTH FOR WEALTH ใช้ระบบสาธารณสุขพัฒนาประเทศไทยให้เศรษฐกิจกลับมาแข็งแรง โดยไม่ได้มองเพียงมิติเดียว แต่มองไกลไปถึงว่า ระบบสุขภาพของไทยมีส่วนกระตุ้นและสนับสนุนธุรกิจการค้าการลงทุนต่าง ๆ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรและกัญชา เพื่อการส่งเสริมสุขภาพรักษาโรคภายในประเทศและการส่งออก การพัฒนาให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการบริการสุขภาพของโลก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่ม Health Tourism และกระทรวงสาธารณสุข เพราะเชื่อว่า การพัฒนาสุขภาพให้ดี จะส่งผลให้เศรษฐกิจและสังคมดีตามมา คนไทยต้องปลอดภัยสาธารณสุขไทยรับประกัน