สธ.จ่อพิจารณาลดเตือดภัยโควิดเหลือระดับ 2 เลิกตรวจ ATK เฝ้าระวัง ปรับระบบรายงานผู้ป่วยรายวันเป็นเฉลี่ย 7 วัน เฉพาะมีอาการเข้าโรงพยาบาล เริ่ม 1 มิ.ย. นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2565 นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ของประเทศไทยว่า ภาพรวมประเทศไทย ตอนนี้สถานการณ์ลดลงคล้ายหลายประเทศในเอเชีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหลายประเทศปรับระบบรายงาน เนื่องจากการติดเชื้อลดลง เข้าสู่การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยเน้นติดตามผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจเป็นหลัก อัตราครองเตียงระดับ 2 และ 3 ลดลงต่อเนื่อง วันนี้อยู่ที่ 12.8% ถือว่าลดลงค่อนข้างมาก ยังมีเตียงว่างเพียงพอ ถ้ามีการระบาดของโควิดและป่วยหนักมากขึ้นก็รองรับได้ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตถือว่าลดลงต่อเนื่อง แต่ค่อนข้างช้าลง ส่วนผู้เสียชีวิตยังเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงอายุหรือมีโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะอายุ 70 ปีขึ้นไป ครึ่งหนึ่งไม่ได้ฉีดวัคซีน จึงรณรงค์กลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตสูงให้ฉีดวัคซีนเข็มปกติและเข็มกระตุ้นเพื่อลดผู้เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิต ดีกว่าเส้นคาดการณ์ และอยู่ในช่วงขาลงทั้งประเทศ แม้ช่วงนี้มีการเปิดภาคเรียน แต่ก็พบการระบาดในบางจังหวัดในบางโรงเรียนจำนวนไม่มากนัก โดยลักษณะการติดเชื้อเป็นการติดเชื้อในครอบครัว เพื่อน หรือเป็นกลุ่มก้อนบ้างในบางโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนประจำ โดยวัยเรียนต้องฉีดวัคซีนเพื่อไม่ให้ป่วยหนัก หากติดเชื้อมีอาการให้แยกออกไปรักษา แต่ไม่ต้องปิดโรงเรียน โดยเน้นแยกระยะห่างมากขึ้น
"ขณะนี้ยังคงสถานะการเตือนภัยโควิดระดับ 3 โดยเน้นกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ไม่เข้าสถานที่เสี่ยง เช่น ผับบาร์ คาราโอเกะ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 และผู้ที่รับวัคซีนไม่ครบ 3 เข็ม อย่างไรก็ตาม สัปดาห์นี้จะพิจารณาการปรับระดับเตือนภัยโควิดเป็นระดับ 2 ส่วนจะมีจังหวัดไหนต้องรอติดตามการพิจารณาอีกครั้ง และขอความร่วมมือช่วยกันป้องกันไม่ให้ระบาดเป็นวงกว้างกลับมาใหม่ โดยยังสวมหน้ากาก และเว้นห่างเช่นเดิม" นพ.จักรรัฐ กล่าว
นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ประเทศไทยจะมีการปรับระบบรายงานให้เข้ากับสถานการณ์ที่จะผ่อนคลายมากขึ้น ที่จะมีการเปิดผับบาร์ใน 31 จังหวัด หรือผ่อนคลายเรื่องอื่นๆ เพื่อจะได้วิเคราะห์ข้อมูลได้ชัดเจนมากขึ้น โดยปรับจากการรายงานผู้ติดเชื้อเป็นผู้ป่วย โดยจะรายงานจำนวนผู้ป่วยรายวันแบบเฉลี่ย 7 วัน เน้นผู้ป่วยที่มีอาการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาการหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตยังรายงานทุกวันต่อเนื่อง
แม้เราจะปรับมาติดตามผู้ป่วยหนักหรือมีอาการเป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น แต่ย้ำว่ายังต้องเข้มมาตรการป้องกันส่วนบุคคล (Universal Prevention) โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ดูแลทั้ง 2 กลุ่มนี้ รวมถึงสถานที่เสี่ยง อย่างผับบาร์ คาราโอเกะ พนักงานจะต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายโรค ส่วนในประชาชนทั่วไปเน้นการตรวจเฉพาะกลุ่มที่อาการป่วยเท่านั้น
ดังนั้น ต่อไปบรรดาบริษัทสถานประกอบการ จึงไม่ต้องตรวจประจำสัปดาห์แล้ว เน้นเมื่อมีอาการป่วย เช่น ไข้ ไอ น้ำมูกไหล เจ็บคอ หอบเหนื่อย เป็นต้น จะได้นำเข้าระบบดูแลรักษาต่อไป รวมถึงยังต้องเจ้มมาตรการฉีดวัคซีน (Universal Vaccination) โดยเฉพาะผู้สูงวัยกลุ่มเสี่ยงสูง หากติดเชื้ออาจอาการหนักได้ ต้องรับเข็มกระตุ้น ส่วนผู้ที่ไม่เคยฉีดเลย พิจารณามาฉีดสักเข็มเพื่อป้องกันให้ได้ก่อน และรับเข็มสองตามมา
"ถ้าผ่อนคลายมาตรการมากขึ้นอาจพบการระบาด การติดเชื้อเป็นวงกว้างได้อีกพอสมควร ดังนั้น กลุ่มเสี่ยง 608 ต้องเน้นฉีดวัคซีนทุกเข็มอย่างต่อเนื่อง ส่วน ศบค.ออกข้อกำหนดให้เปิดผับบาร์ถึงเที่ยงคืน เริ่มวันที่ 1 มิ.ย.นี้ พนักงานต้องฉีดกระตุ้น ทำตามมาตรการ COVID Free Setting พนักงานตรวจ ATK ประจำสัปดาห์ จัดสิ่งแวดล้อมเพื่อลดความเสี่ยง การระบายอากาศ เมื่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.อนุญาต คนไปใช้บริการต้องมีภูมิให้พอ เมื่อติดเชื้อจะได้ไม่มีอาการป่วยหนัก โดยให้ฉีดเข็มกระตุ้นด้วย" นพ.จักรรัฐกล่าว
นพ.จักรรัฐกล่าวถึงกรณีการไม่ต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ว่า สถานการณ์เข้าสู่การผ่อนคลายมากขึ้น จึงเน้นผู้ป่วยเป็นหลัก โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. จะรายงานจากฐานผู้ป่วย ไม่ใช่ฐานติดเชื้อ เพื่อเข้าสู่ระบบเฝ้าระวังในโรคที่ความรุนแรงลดลงแล้ว ซึ่งเดิมเป็นโรคติดต่ออันตราย เราต้องตรวจสอบว่าใครติดเชื้อบ้าง ตอนนี้ติดเชื้อได้ เพราะฉีดวัคซีนแล้ว เราก็จะดูผู้ป่วยเท่านั้น การใช้ ATK ในกลุ่มเสี่ยงต่ำจึงมีความจำเป็นในการตรวจลดลง ยกเว้นกลุ่มเสี่ยง 608 กลุ่มที่อาจแพร่ระบาดวงกว้างได้ง่าย ต้องตรวจประจำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ป่วย เจอแจกจบ จะไม่อยู่ในรายงานผู้ติดเชื้อใช่หรือไม่ นพ.จักรรัฐกล่าวว่า สำหรับผู้ป่วยเข้าระบบเจอแจกจบ OPSI จะอยู่ในการลงทะเบียนเข้ารับการรักษาผ่าน สปสช. ฉะนั้น การตรวจด้วย RT-PCR หรือ ATK ก็มีค่าเท่ากันแล้ว เพราะไม่ได้รายงานจากฐานการติดเชื้อ แต่จะปรับเป็นรายงานผู้ป่วยที่มีอาการและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพราะเราผ่อนคลายประเทศและมาตรการ แต่ช่วงปรับระบบ 1-2 สัปดาห์แรกอาจจะติดขัดบ้างบางที ถ้ามีอาการ แต่ไม่ได้ลงทะเบียน ก็จะไม่นับรวม แต่ถ้าลงทะเบียนจะเข้าสุ่ระบบของ สปสช.เป็นอีกตัวเลข
ส่วนการพิจารณาลดเตือนภัยโควิดเป็นระดับ 2 จะทำทั้งประเทศหรือบางจังหวัดนั้น จะต้องขอปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารก่อน ว่าจะปรับจังหวัดไหนหรือทั้งประเทศ ตอนนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับการปรับคำแนะนำการสวมหน้ากาก จะต้องพิจารณาแต่ต้องมีเกณฑ์กำหนด อาจไม่เกี่ยวข้องกับการลดระดับเตือนภัย เพราะหน้ากากเป็นมาตรการส่วนบุคคล ซึ่งต้องใช้ต่อเพราะลดโรคอื่นได้ด้วย