ศูนย์จีโนมฯ พบโควิด 'โอไมครอน' สายพันธู์ลูกผสม XE ในไทย 1 ราย หลัง WHO ออกประกาศเตือนแพร่เร็วกว่าเชื้อ 'โอไมครอน' ดั้งเดิม 43% เร็วกว่า BA.2 10%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2565 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยแพร่ข้อมูลเมื่อวันที่ 29 มี.ค.2565 ออกคำเตือนเกี่ยวกับโอไมครอนสายพันธุ์ลูกผสม ‘XE’ ที่แพร่เชื้อติดต่อได้ง่ายและรวดเร็วกว่าโควิดทุกสายพันธุ์ที่เคยประสบมา
‘XE’ เป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย ‘BA.1 X BA.2’ ไม่ใช่ ‘เดลตาครอน’ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่าง ‘เดลตา X โอมิครอน’ WHO ยังไม่ตั้งชื่อให้อย่างเป็นทางการจนกว่า ‘XE’ จะแสดงอาการทางคลินิกที่รุนแรงแตกต่างไปจากสายพันธุ์อื่นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับสายพันธุ์ลูกผสม ‘เดลตาครอน’ หรือ ‘XD’ WHO แจ้งว่าไม่พบการระบาดที่รวดเร็ว (transmissibility) และอาการที่รุนแรง (severity) แต่ประการใด
ล่าสุดศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดีตรวจพบสายพันธุ์ลูกผสม ‘XE’ จากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างสวอปจากผู้ติดเชื้อ ชาวไทย 1 ราย และจากการตรวจกรองด้วยเทคโนโลยี Massarray Genotyping พบสายพันธุ์ลูกผสม ‘เดลตาครอน (เดลตา X โอมิครอน)’ อีก 1 ราย ซึ่งต้องยืนยันด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมอีกครั้งหนึ่ง
โอไมครอนสายพันธุ์ลูกผสม ‘XE’ พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 19 ม.ค.2565 โดยมีการถอดรหัสพันุกรรมทั้งจีโนมและอัปโหลดขึ้นไปแชร์ไว้บนฐานข้อมูลโควิด-19 โลกแล้วมากกว่า 600 ตัวอย่าง
WHO ประเมินว่าสายพันธุ์ลูกผสม ‘XE’ มีอัตราการแพร่ระบาด (growth advantage) เหนือกว่า BA.2 ถึง 10% อย่างไรก็ตามยังต้องรอข้อมูลจากทั่วโลกที่ร่วมด้วยช่วยกันอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมอีกระยะหนึ่งเพื่อการยืนยัน
ตามรายงานของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UK Health Services Agency) หรือ UKHSA ยืนยันเช่นเดียวกันว่าสายพันธุ์ลูกผสม ‘XE’ สามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่า BA.2 ประมาณ 10% และแพร่ได้รวดเร็วกว่าโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม B.1.1.529 ถึง 43%