ศาลปกครองสูงสุดกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น ไม่คุ้มครองชั่วคราว ‘วิระชัย ทรงเมตตา’ ปมถูกสำรองราชการ – พ้นตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2565 ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีมีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 387/2563 ลงวันที่ 29 ก.ค.2563 สำรองราชการ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา และประกาศของนายกรัฐมนตรี ที่มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 31 ส.ค.2563 ที่ให้ พล.ต.อ.วิระชัย พ้นจากตำแห่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
และให้ยกคำขอ ผุ้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) และ นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ที่ขอให้ระงับคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของศาลปกครองชั้นต้น ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยอุทธรณ์
สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ในขณะนั้น และนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่ง หลังคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเห็นว่า การเผยแพร่เทปบันทึกเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ พล.ต.อ.วิระชัย เกี่ยวกับกรณีคนร้ายลอบยิงรถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง
โดย พล.ต.อ.วิระชัย เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำรองราชการ และคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ซึ่งระหว่างพิจารณาคดี ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง ผบ.ตร.ที่ให้ พล.ต.อ.วิระชัย สำรองราชการ รวมถึงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ให้พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตรง.ไว้ก่อน จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ซึ่งต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ยื่นอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า เมื่อ พล.ต.อ.วิระชัย ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบวินัยและต้องหาว่ากระทำผิดอาญา อยู่ในเงื่อนไขที่ ผบ.ตร.จะมีคำสั่งสำรองราชการ แต่ยังมีข้อสงสัยว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อีกทั้งตามข้อ 8 วรรคสองของกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือส่วนราชการใดหรือสำรองราชการในส่วนราชการใด 2548 ได้กำหนดว่าการสั่งให้ รอง ผบ.ตร. ในส่วนราชการใด ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง นับแต่วันประจำหรือสำรองราชการตามมาตรา 104 ด้วย ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรี มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ พล.ต.อ.วิระชัย พ้นจากตำแห่ง ในชั้นนี้จึงไม่อาจถือว่าคำสั่งดังกล่าวน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผบ.ตร. มีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง การออกคำสั่งให้สำรองราชการจึงน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีผลทำให้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ศาลเห็นว่า ผบ.ตร. ไม่ใช่คู่กรณีกับ พล.ต.อ.วิระชัย แต่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่ควบคุมดูแลการบริหารราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งมีอำนาจบริหารงานบุคคล ตลอดจนมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการทางวินัยกับผู้ใต้บังคับบัญชาให้มีความประพฤติในกรอบของกฎหมาย
ดังนั้น ผบ.ตร. ทราบข่าวจากสื่อมวลชน ว่ามีคลิปเสียงบันทีกสนทนา ที่ได้เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้มีการให้เหตุผลใดๆ ในการดำเนินการดังกล่าว ภายหลังปรากฏข้อเท็จจริงว่าคลิปเสียงการสนทนา เป็นการลักลอบบันทึก จึงเป็นพฤติกรรมที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุทำให้ ผบ.ตร. และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับความเสียหาย อีกทั้งยังอาจเป็นความผิดวินัยอีกด้วย จึงไม่ใช่กรณีอันมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง ตามที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยไว้แต่อย่างใด แต่เป็นการดำเนินการตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้โดยชอบแล้ว
ศาลเห็นอีกว่า การให้คำสั่งดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไป มิได้ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังแต่อย่างใด เนื่องจากหากศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอท้ายฟ้องของ พล.ต.อ.วิระชัย ย่อมมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามกฎหมาย ในระหว่างถูกสำรองราชการและถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.
นอกจากนี้ ศาลยังเห็นว่า หากมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง อาจเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ เพราะย่อมมีผลทำให้ พล.ต.อ.วิระชัย มีสิทธิที่จะดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครอง และอาจทำให้ใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานในคดี และอาจทให้ประชาชนไม่เชื่อถือศรัทธาต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐและปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นแก่การบริหารงานของรัฐประกอบด้วยแล้ว
กรณีจึงเห็นได้ว่า ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของ ผบ.ตร. ที่สั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย สำรองราชการ และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ไว้เป็นการชั่วคราว ตามคำขอของ พล.ต.อ.วิระชัย