'อังกฤษ'เผยผลวิจัย วัคซีนบูสเตอร์ป้องกันเข้า รพ.ได้ 88 เปอร์เซ็นต์จากไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หลังจากวัคซีนโดสก่อนหน้า ภูมิลดไป 52 เปอร์เซ็นต์เมื่อเวลาผ่านไป 25 สัปดาห์
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัสว่า หน่วยงานสาธารณสุขของประเทศอังกฤษหรือ UKHSA ได้ทำการสำรวจพบผลการศึกษาว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์เป็นจำนวนอย่างน้อยหนึ่งโดสนั้น สามารถมอบภูมิคุ้มกันให้กับประชากรเพื่อป้องกันการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้เป็นอัตราอย่างน้อย 88 เปอร์เซ็นต์
โดยข้อมูลใหม่นั้นยืนยันว่าการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า,ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา จำนวนสองโดสนั้นให้ภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อที่น้อยมาก เมื่อเจอกับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน อย่างไรก็ตามการป้องกันอาการป่วยรุนแรงนั้นดูเหมือนว่าจะดีขึ้นมากเมื่อต้องเจอกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้
ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขกล่าวว่าข้อมูลนี้นั้นตอกย้ำความสำคัญถึงการเข้ารับวัคซีนโดสสาม โดยนายซาจิด จาวิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่านี่เป็นข้อมูลที่สำคัญมากเพราะบอกให้เห็นว่าวัคซีนนั้นสามารถช่วยชีวิตและป้องกันการป่วยรุนแรงได้
“การวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่าคุณมีแนวโน้มที่จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้นแปดเท่าอันเป็นผลมาจากไวรัสโควิด-19 ถ้าคุณไม่ได้รับการฉีดวัคซีน” นายจาวิดกล่าว
โดยหน่วยงานสาธารณสุขได้วิเคราะห์ว่ามีผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนทั้งที่ยืนยันแล้ว และต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อเป็นจำนวนอย่างน้อย 600,000 ราย จนถึงวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา
และนอกจากนี้ยังพบข้อมูลด้วยว่าวัคซีนเพียงโดสเดียวนั้นจะสามารถลดความเสี่ยงการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไปได้ 50 เปอร์เซ็นต์ และถ้าหากตามมาด้วยโดสสอง ก็จะเพิ่มภูมิคุ้มกันไปได้ถึง 72 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าภูมิคุ้มกันจะลดลงไปถึง 52 เปอร์เซ็นต์เมื่อระยะเวลาผ่านไปหลังจาก 25 สัปดาห์ก็ตาม และเมื่อหลังจากฉีดวัคซีนในโดสสามไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันป้องกันการรักษาในโรงพยาบาลก็จะพุ่งอยู่ที่ 88 เปอร์เซ็นต์
หน่วยงานสาธารณสุขกล่าวต่อไปว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอว่าการปกป้องนี้จะอยู่ได้นานเท่าไร แต่คาดว่าน่าจะนานกว่าการออกอาการของไวรัส ส่วนคนที่มีอาการป่วยอยู่ก่อนแล้วและฉีดวัคซีน การปกป้องของวัคซีนหลังจากการฉีดในแต่ละโดสนั้นจะมีอัตราที่น้อยกว่า และลดลงไปอยู่ที่ 68 เปอร์เซ็นต์หลังจากการฉีดบูสเตอร์ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
เรียบเรียงจาก:https://www.bbc.com/news/health-59840524