'ฮ่องกง'เผยผลทดลองวัคซีนบูสเตอร์ พบคนได้รับวัคซีนไบออนเทคหลังจากฉีดซิโนแวค 2 โดสมีระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ -ด้าน 'WHO'อนุมัติฉุกเฉินวัคซีนโควาซินจากอินเดีย-คาดช่วยชาวอินเดียหลายล้านคนเดินทางไป ตปท.ได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัสว่า ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกงได้มีการเปิดเผยข้อมูลของมหาวิทยาลัยจำนวน 2 แห่งว่าบุคคลผู้ได้รับวัคซีนโคโรน่าแวกของบริษัทซิโนแวค ซึ่งมีสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีที่ต่ำ จะมีระดับแอนติบอดีสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ถ้าหากมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ด้วยวัคซีนของบริษัทไบออนเทคที่ผลิตร่วมกับบริษัทไฟเซอร์
ขณะที่การศึกษาในพื้นที่ยังพบว่าวัคซีนไบออนเทคนั้นสร้างระดับภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่สูงกว่ามากเมื่อต้องเจอกับไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า โดยระดับภูมิคุ้มกันนั้นจะอยู่ที่ 95 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่วัคซีนของบริษัทซิโนแวคจะมีระดับอยู่ที่ 48 เปอร์เซ็นต์
อนึ่งการศึกษาดังกล่าวนั้นได้รับเงินสนับสนุนจากทางรัฐบาลท้องถิ่นฮ่องกง โดยมี นพ. David Hui Shu-cheong และ นพ. Malik Peiris เป็นผู้ดำเนินกระบวนการศึกษา สำหรับรายละเอียดของการศึกษาได้มีการแยกกลุ่มตัวอย่างผู้ได้รับวัคซีนซิโนแวค ที่มีแอนติบอดีต่ำจำนวนกว่า 80 คน ซึ่งมีช่วงอายุตั้งแต่ 34 ปีถึง 73 ปี แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยทั้ง 2 กลุ่มนั้นจะได้รับวัคซีนบูสเตอร์ทั้งของบริษัทไบออนเทคและของบริษัทซิโนแวค และการศึกษาดังกล่าวนั้นได้ดำเนินการในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค.
โดยผลการศึกษาพบว่าเมื่อระยะเวลาหนึ่งเดือนหลังจากที่มีการฉีดวัคซีนในโดสที่ 3 ผ่านไป พบว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญของกลุ่มที่ได้รับวัคซีนโดส 3 จากผู้ที่ได้รับวัคซีนของบริษัทไบออนเทค
ซึ่งระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากวัคซีนบริษัทไบออนเทคต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า,สายพันธุ์แกมม่า และสายพันธุ์เบต้า นั้นจะอยู่ที่ 95.33 เปอร์เซ็นต์,92.51 เปอร์เซ็นต์และ 92.29 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ขณะที่วัคซีนของซิโนแวคจะให้ระดับภูมิคุ้มกันอยู่ที่ 48.87 เปอร์เซ็นต์,32.22 เปอร์เซ็นต์ และ38.79 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
ส่วนระดับภูมิคุ้มกันที่มีต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมนั้น วัคซีนของบริษัทไบออนเทคจะให้ระดับอยู่ที่ 96.8 เปอร์เซ็นต์ และวัคซีนซิโนแวคจะให้ระดับภูมิคุ้มกันอยู่ที่ 57.75 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม มีรายงานพบว่ากลุ่มผู้ได้รับวัคซีนโดส 3 ซึ่งเป็นวัคซีนจากบริษัทไบออนเทคจะมีอาการผลข้างเคียง อาทิ ไม่สบาย และอาการบวมในบริเวณที่ฉีด ความเมื่อยล้า และปวดกล้ามเนื้อ มากกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคในเข็มที่ 3 แต่ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่าผลข้างเคียงเหล่านี้ไม่รุนแรงและสามารถหายได้โดยเร็ว
ส่วนสถานการณ์อื่นๆของโลกนั้นมีรายงานว่าที่องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ให้การรับรองวัคซีนโควาซิน” (Covaxin) ของบริษัท ภารัต ไบโอเทค (Bharat Biotech) ผู้ผลิตยาสัญชาติอินเดีย เพื่อใช้ในการป้องกันโรคโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน ซึ่งจะเปิดทางให้วัคซีนดังกล่าวได้รับการยอมรับในฐานะวัคซีนที่สามารถใช้งานได้ในประเทศยากจนจำนวนมาก
WHO เปิดเผยผ่านทางบัญชีทวิตเตอร์ว่า คณะที่ปรึกษาทางเทคนิคของ WHO ได้พิจารณาว่าประโยชน์ของวัคซีนโควาซินมีมากกว่าความเสี่ยงและเป็นไปตามมาตรฐานของ WHO ในการป้องกันโควิด-19
นอกจากนี้ คณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งให้คำปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การสร้างภูมิคุ้มกันโรคของ WHO ได้แนะนำให้ใช้วัคซีนโควาซินจำนวน 2 เข็ม โดยเว้นระยะการฉีด 4 สัปดาห์ ในกลุ่มบุคคลอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยคำแนะนำดังกล่าวสอดคล้องกับคำแนะนำของบริษัทภารัต ไบโอเทค
อย่างไรก็ตาม WHO ระบุว่า ยังไม่มีคำแนะนำให้ใช้โควาซินกับเด็ก และข้อมูลการใช้กับสตรีมีครรภ์ที่มีอยู่ตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะประเมินความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพได้
สำหรับวัคซีนโควาซินนั้นได้รับการอนุมัติเพื่อใช้งานเป็นกรณีฉุกเฉินในอินเดียเมื่อเดือน ม.ค. ปีนี้ ก่อนที่จะเสร็จสิ้นการทดลองระยะสุดท้าย ซึ่งผลการทดลองพบว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพ 78% ในการป้องกันอาการป่วยหนักจากโรคโควิด-19
ทั้งนี้ คาดว่าการตัดสินใจของ WHO จะช่วยให้ชาวอินเดียจำนวนหลายล้านคนที่ได้รับวัคซีนโควาซินสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้
นอกจากนี้ โควาซิน นับเป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวที่ 8 ที่ผ่านการรับรองเพื่อใช้งานเป็นกรณีฉุกเฉินจาก WHO ต่อจาก แอสตราเซเนก้า/ออกซฟอร์ด, ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค, โควิชิลด์, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน, โมเดอร์นา, ซิโนฟาร์ม และ ซิโนแวค
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/