สธ.เผยยอดฉีดวัคซีนในวันมหิดลกว่า 1.3 ล้านโดส รวมสะสมเกิน 50 ล้านโดส ระบุแผนเดือน ต.ค.- ธ.ค. จัดหาได้ 125.9 ล้านโดส คาดสิ้นปีนี้เข็ม 1 ครอบคลุม 85% เข็ม 2 อีก 74% ย้ำฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ป้องกันเดลต้า
----------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รวม.สาธารณสุข แถลงผลการฉีดวัคซีนทั่วไทย และแผนการฉีดวัคซีนระยะต่อไปตามเป้าหมายว่า เมื่อวานนี้เป็นวันมหิดลวันที่ 24 ก.ย. ในทุกปี สธ.จัดกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์) พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน และ ในปีนี้ได้มีการรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน เนื่องในวันมหิดลให้ได้ครบ 1 ล้าน โดส ซึ่งด้วยความร่วมมือร่วมใจ ความตั้งใจของบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชน ทำให้เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา สามารถฉีดวัคซีนได้มากกว่า 1.3 ล้านโดส แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่มีความพร้อม
“จนถึงเมื่อวานได้ฉีดวัคซีนสะสมทั้งหมดเกิน 50 ล้านโดสทั่วประเทศ มีทั้งผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 เมื่อวานเป็นการเริ่มให้บริการวัคซีนเข็มที่ 3 แก่พี่น้องประชาชนชาวไทยที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแรก เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ โดยเมื่อวานฉีดเข็ม 3 ไปประมาณกว่า 1.5 แสนคน ยังไม่รวมบุคลากรการแพทย์ที่ได้รับบูสเตอร์ก่อนหน้านี้ จากนี้ เป็นต้นไป ขอเชิญพี่น้องประชาชนที่ได้รับซิโนแวค 2 เข็ม ตั้งแต่เดือน มี.ค.-มิ.ย. ขอให้ลงทะเบียน หรือทำนัดมารับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ เข็มที่ 3 เพื่อความปลอดภัย และเสริมภูมิคุ้มกันโรค” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า จากนี้จนถึงสิ้นปี ทาง สธ. ได้มีการจัดหาวัคซีนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ประมาณ 125 ล้านโดส และตั้งแต่เดือนต.ค.นี้เป็นต้นไป จะเร่งทำการฉีดให้ครอบคลุมพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนที่สามารถรับวัคซีนได้ เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตปกติ สามารถดำเนินชีวิต สร้างชีวิตสร้างสังคมให้แข็งแกร่งโดยเร็ว สธ.ทุกคนเป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นข้ารับใช้ของพระราชบิดาสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทำให้จะสานต่อเจตนารมณ์ตามรอยเบื้องพระชนมบาท ได้มีพระราชดำรัส ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ 2 ประโยชน์เพื่อนมนุษย์ที่ 1 ซึ่ไม่ได้มุ่งหวังในลาภ ยศ ทรัพย์ แต่หวังให้ประชาชนทุกคนมีความปลอดภัยมีสุขภาพชีวิตที่ดี มีความสามารถสร้างเป็นบึกแผ่น และมีความมั่นคงให้แก่ตัวท่าน ครอบครัว และประเทศ อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือป้องกันควบคุมโรค และห่างจากการคุกคามของโรคโควิด-19 และขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ที่ทุ่มเทเสียสละไม่รู้เหน็ดเหนื่อยในการป้องกันการควบคุมโรคให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดความสามารถ เชื่อว่าทุกคนจะต่อสู้กับโรคร้ายจนชนะได้ในที่สุด
นายอนุทิน กล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้วัคซีนจะทยอยเข้ามามาก และเพียงพอในการฉีดให้ครอบคลุมทุกกลุ่มพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะวัคซีนไฟเซอร์ ที่รัฐบาลได้จัดซื้อมา 30 ล้านโดส เริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่สิ้นเดือนก.ย. จนถึงสิ้นปีนี้ โดยวัคซีนนี้สามารถฉีดให้แก่เด็กอายุ 12 -18 ปี ดังนั้น ขอเรียนเชิญพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกหลานอายุ 12-18 ปี ได้พิจารณาและให้น้องๆ มารับวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไปเรียนหนังสือ และทางโรงเรียนทั้งหลายได้เปิดการเรียนการสอนเป็นปกติ
“เราพร้อมฉีดวัคซีนไฟเซอร์ตั้งแต่สิ้นเดือนนี้ให้แก่ลูกๆ หลานโดยทันที เพื่อให้ครอบคลุมมากที่สุด สธ.ขอยืนยันการฉีดวัคซีนมีผลที่เป็นประโยชน์ คุ้มค่า มากกว่าการไม่ได้ฉีดวัคซีน และวัคซีนที่รัฐบาลจัดสรรมีคุณภาพ ประสิทธิภาพที่สูง ป้องกันการคุกคามโรคโควิด การติดเชื้อ ลดการป่วยหนัก และลดการเสียชีวิตได้” นายอนุทิน กล่าว
ทั้งนี้ สธ.ได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ประเทศจีน ได้บริจาควัคซีนจำนวนหนึ่งให้แก่ประเทศไทย และได้มีการหยิบยืนวัคซีนจากประเทศสิงคโปร์ และภูฎาน เข้ามาเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ได้มีการยืนยันการจัดหาวัคซีนในปีหน้า จึงขอให้มั่นใจว่าสธ.ได้มีการจัดเตรียมวัคซีนไว้ให้พี่น้องประชาชนในปีหน้าจะเพียงพอ อย่างแน่นอน
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า วัคซีนที่จะนำมากระตุ้นภูมิให้ประชาชน จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น และลดความสามารถของโรคโควิด-19 ในการคุมคามพี่น้องประชาชน และลดความรุนแรง ป้องกันการแพร่เชื้อของโรคได้นั้น ทุกคนสามารถควบคุมสาธารณการณ์ได้ที่สุด ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนทุกคน และ ขอให้การยืนยันว่าคณะแพทย์ บุคลากรทางกรแพทย์ทุกคน มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และทุ่มเท พร้อมทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้พี่น้องประชาชน ปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด-19 เราคาดหวังว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ไม่นานจากนี้เป็นต้นไป
“เราพิสูจน์ให้เห็นในหลายๆ มิติ ทั้งขีดกำลังความสามารถในการให้บริการพี่น้องประชาชน วัคซีน ยาและเวขภัณฑ์ต่างๆ และความร่วมมือของพี่น้องประชาชนทำให้คลี่คลายไปได้ดีที่สุด” นายอนุทิน กล่าว
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าภายใต้นโยบายของ สธ.ที่จะดูแลเรื่องสุขภาพและป้องกันการระบาดโรคโควิด ทางรัฐบาล และสธ.มีนโยบายให้ทุกคนรณรงค์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน ซึ่งในวันมหิดล ได้มีการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ 1,300,677 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 841,769 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 309,429 โดส และวัคซีนเข็มที่ 3 จำนวน 149,479 โดส
โดยเมื่อจำแนกตามเขตสุขภาพ พบว่า มี 7 เขตสุขภาพที่สามารถฉีดได้เกิน 1 แสนโดส ได้แก่ เขตสุขภาพ 6 ได้ 148,887 โดส เขตสุขภาพ 1 ได้ 126,213 โดส เขตสุขภาพ 9 ได้ 124,218 โดส เขตสุขภาพ 8 ได้ 120,283 โดส เขตสุขภาพ 7 ได้ 114,454 โดส เขตสุขภาพ5 ได้ 104,739 โดส และเขตสุขภาพ 4 ได้ 103,939 โดส
ส่วน 10 จังหวัดที่มีการฉีดวัคซีนมากที่สุด ได้แก่ กทม. ฉีดได้มากสุด 64,880 โดส ชลบุรี 48,316 โดส อุดรธานี 47,110 โดส นครราชสีมา 44,863 โดส เชียงใหม่ 39,214 โดส ขอนแก่น 37,453 โดส สมุทรปราการ 32,243 โดส บุรีรัมย์ 31,118 โดส ร้อยเอ็ด 30,282 โดส และอุบลราชธานี 28,764 โดส
อย่างไรก็ตาม จากการฉีดวัคซีนในวันมหิดล 24 ก.ย.2564 ทำให้ขณะนี้ สามารถฉีดวัคซีนสะสมทั้งประเทศ 50,080,565 โดส ครอบคลุมเข็มที่ 1 44.45% แบ่งเป็น กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 3,699,650 โดส กลุ่มเข้าหน้าที่ด้านหน้า 2,174,407 โดส กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้น 9,673,061 โดส ครอบคลุมเข็ม 1 คิดเป็น 56.93% กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค 5,753,305 โดส ครอบคลุมเข็ม 1 คิดเป็น 58.30% กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ 104,068 โดส และกลุ่มประชาชนทั่วไป 28,676,074 โดส
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ประจำวันนั้น ในวันที่ 25 ก.ย.2564 มีการรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,975 ราย แบ่งเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 11,956 ราย และมาจากต่างประเทศ 19 ราย ราย สะสมระลอกใหม่เดือน เม.ย. 1,549,285 ราย โดยแผนฉีดวัคซีนโควิดถึงสิ้นปี 125.9 ล้านโดส คาดฉีดตามเป้า 85%ในเข็ม 1 สำหรับผู้ป่วยหายกลับบ้านได้ 14,700 ราย หายป่วยสะสม 1,408,602 ราย พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 127 ราย เสียชีวิตสะสม 16,143 ราย ส่วนผู้ที่รักษาตัวในรพ.มี 124,540 ราย เป็นผู้ป่วยอาการหนัก 3,323 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 729 ราย
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับแผนจัดหาวัคซีนในเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2564 เพื่อให้ได้กำหนดตามแผนเดิมที่จะฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสในปี 2564 เพื่อครอบคลุมประชากรอย่างน้อย 50% ซึ่งแผนประมาณการการจัดหาวัคซีน จะได้ทั้งหมดประมาณ 125.9 ล้านโดส และยังมีวัคซีนทางเลือกเข้ามาร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมการจัดหาวัคซีนที่รัฐบาลจัดหา และวัคซีนทางเลือกแล้วนั้น จะรวมวัคซีนที่เข้ามาในไทยตลอดเดือนก.ย.- ธ.ค. ทั้งหมด 152.9 ล้านโดส
นพ.โอภาส กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนการจัดสรรและฉีดวัคซีนโควิดตลอดเดือน ต.ค.- ธ.ค.2564 นั้น จะทำให้การฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 สิ้นเดือน ธ.ค.2564 จะมีความครอบคลุม 85% และสิ้นเดือน ธ.ค.เข็มที่ 2 จะครอบคลุม 74% ส่วนเข็มที่ 3 จะรวมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็น 7 ล้านโดส ดังนั้น มาตรการที่จะช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยอาการหนักได้ คือ การฉีดวัคซีน ซึ่งวัคซีนที่ใช้มีประสิทธิภาพในรักษาลดการป่วยหนัก และลดอัตราเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง ขอให้ประชาชนรับวัคซีนให้ครบ และหากใครได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม มีการแจ้งและนัดหมายให้มาฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ขอให้ประชาชนมาฉีดบูสเตอร์โดส และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสาร ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยในโลกอีกประเทศหนึ่ง
อ่านประกอบ:
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage