'ศิริราช'เผยผลการวิจัยฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์ เป็นเข็มที่ 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงที่สุด และบูสเตอร์เพียงครึ่งโดสอาจจะเพียงพอต่อการยับยั้งสายพันธุ์เดลต้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2564 ศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Siriraj Institute of Clinical Research อัปเดตรายงานผลการวิจัยโครงการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ในผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ระบุว่า หลังจากรับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม เป็นระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ ระดับภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีชนิด IgG เฉลี่ยอยู่ที่ 45-53 หน่วยต่อมิลลิลิตร เมื่อได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยไฟเซอร์ขนาดเต็มโดส (0.3 มิลลิลิตร) มีระดับแอนติบอดีชนิด IgG ขึ้นเฉลี่ย 5,723 หน่วยต่อมิลลิลิตร
รองลงมาเป็นการ กระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ขนาดครึ่งโดส (0.15 มิลลิลิตร) มีระดับแอนติบอดีชนิด IgG ขึ้นเฉลี่ย 4,598 หน่วยต่อมิลลิลิตร ซึ่งสูงกว่าการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิดอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
เทียบกับ 4-8 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม จะมีระดับแอนติบอดีชนิด IgG เฉลี่ยที่ 1,931.3 หน่วยต่อมิลลิลิตร
ส่วนการกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า มีระดับแอนติบอดีชนิด IgG ขึ้นเฉลี่ย 1,599 หน่วยต่อมิลลิลิตร เทียบกับวัคซีนซิโนฟาร์มที่มีแอนติบอดีขึ้นเฉลี่ย 218.9 หน่วยต่อมิลลิลิตร
ผลต่อการยั้บยั้งสายพันธุ์เดลต้า ไฟเซอร์ขนาดเต็มโดสมีระดับไตเตอร์สูงที่สุด (839.9) รองลงมาเป็นวัคซีนไฟเซอร์ขนาดครึ่งโดส (531.วัคซีนแอสตร้าเซเนก้า (271.2) และวัคซีนซิโนฟาร์ม (61.3) สรุปว่า สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนซินโนแวคมาแล้ว 2 เข็ม การใช้วัคซีนไฟเซอร์ฉีดเป็นเข็มที่ 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงที่สุด และครึ่งโดสอาจจะเพียงพอได้ ควรมีการศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อยืนยันผลภูมิคุ้มกันที่ได้จากการศึกษานี้
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/