อภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่สอง 'บิ๊กตู่' ขอโทษกลางสภา ถ้าทำอะไรให้ไม่พอใจ 'บิ๊กช้าง' รมช.กลาโหม โต้ ส.ส.ก้าวไกล เอกสารไอโอไม่จริง พร้อมสั่งสอบปมทหารถูกอมเบี้ยเลี้ยง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2564 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่สอง โดยจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ส.ค.- 3 ก.ย. รวม 4 วัน หรือ 58 ชั่วโมง 30 นาที และจะลงมติในวันที่ 4 ก.ย.2564
สำหรับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประกอบด้วย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม , นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข , นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน , นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม , นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ตามลำดับ
อัด 'บิ๊กตู่-อนุทิน' ล้มเหลวแผนจัดหาวัคซีน
เมื่อเวลา 15.40 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่แล้ว เมื่อวันที่ 17 ก.พ.2564 นายอนุทิน บอกไว้อย่างชัดเจนว่า ในไตรมาสสาม ซึ่งก็คือ ก.ค.-ก.ย.2564 จะมีแอสตร้าเซนเนก้า อยู่เต็มแขนของประชาชน อยู่เต็มโรงพยาบาล มีจนไม่พอเก็บ แต่เมื่อวานนี้ นายอนุทินบอกว่าตอนนี้วัคซีนมีเต็มแขนแล้วและไม่ได้ผิดคำพูด จึงเกิดความสงสัยว่า ท่านอยู่คนกับโลกของเราหรือไม่ เพราะข้อมูล 1 ก.ย.2564 มีคนฉีดวัคซีนเข็มแรก 23.8 ล้านคน เข็มที่สองมี 8.2 ล้านคน จากประชากรทั้งประเทศคือ 67 ล้านคน ถ้าอย่างนี้เรียกเต็มแขน ประชาชนก็ต้องเต็มกลืน เพราะรู้สึกว่าท่านเกินเยียวยา
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 รัฐบาลเผยแพร่หลายช่องถึงเพื่อนำเสนอแผนการจัดหาแอสตร้าเซนเนก้า ที่คาดว่าสิ้นปี 2564 จะได้รับทั้งหมด 61 ล้านโดส ตนไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องวัคซีนลวงโลก เพราะนายอนุทินก็เคยให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจว่า ในสัญญาระบุว่าหากวัคซีนที่ผลิตในไทยจัดส่งไม่ได้ เขาต้องจัดหาจากแหล่งผลิตอื่นส่งให้ไทย แสดงว่าสัญญาต้องมีข้อบังคับที่ทำให้แอสตร้าเซนเนก้าส่งมอบวัคซีนให้กับไทยตามแผนจัดหา 61 ล้านโดส
อย่างไรก็ตาม เรื่องสัญญาจัดซื้อแอสตร้าเซนเนก้าที่ได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2564 อธิบดีกรมควบคุมโรคให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเลข 61 ล้านโดสเป็นศักยภาพในการฉีด ไม่ใช่จำนวนวัคซีนที่ต้องส่งมอบ ขณะเดียวกันมีการเปลี่ยนแผนการจัดสรรจากเดิมที่จะได้แอสตร้าเซนเนก้าเดือนละ 10 ล้านโดสเหลือเพียงเดือนละ 4-6 ล้านโดส ทั้งนี้ยังพบว่า สัญญาที่พลเอกประยุทธ์ทำเอาไว้ ไม่ได้มีการระบุประมาณการส่งมอบในแต่ละเดือนเอาไว้จริงๆ ต้องถามพลเอกประยุทธ์ว่า ไปทำสัญญาอย่างหละหลวมแบบนี้ได้อย่างไร
นายวิโรจน์ กล่าวถึงเอกสารที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำเสนอเมื่อวันที่ 17 ก.ค.2564 ซึ่งแอสตร้าเซนเนก้าทำหนังสือถึงนายอนุทิน ลงวันที่ 25 มิ.ย.2564 เพื่อแจ้งว่าจะจัดสรรวัคซีน 1 ใน 3 เพื่อส่งมอบให้กับรัฐบาลไทย หรือประมาณ 5-6 ล้านโดส และต่อมามีการเผยแพร่เอกสารเพิ่มเติม จนเพิ่งพบว่า การจัดหาแอสตร้าเซนเนก้าที่แบ่งออกเป็น 2 สัญญานั้น สัญญาแรก 26 ล้านโดส ส่วนสัญญาที่สอง 35 ล้านโดส เพิ่งมาได้ข้อสรุปเมื่อ พ.ค.2564 และนายอนุทิน เพิ่งมีหนังสือขอให้แอสตร้าเซนเนก้า ส่งมอบเดือนละ 10 ล้านโดส ตามหนังสือลงวันที่ 30 มิ.ย.2564
“ตั้งแต่ ม.ค.เป็นต้นมา รัฐบาลพลเอกประยุทธ์กล้าโหมประชาสัมพันธ์ ให้คำมั่นในการจัดหาแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดสได้อย่างไร ทั้งที่ยังไม่มีการลงนามครบถ้วนจากคู่สัญญา นี่คือการโกหกหลอกลวงของพลเอกประยุทธ์ โดยมีผู้ร่วมกระทำการคือนายอนุทินหรือไม่” นายวิโรจน์ กล่าว
- เปิดจม.ลับ 'แอสตร้า’ อ้าง สธ.ไทยเคยแจ้งต้องการแค่เดือนละ3 ล.โดส เพิ่มให้เกือบ 2 เท่าแล้ว
- ฉบับเต็ม! หนังสือ 'อนุทิน' แจ้งแอสตร้าเซนเนก้า ขอรับวัคซีนโควิดเพิ่ม 10 ล้านโดส
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ หากพิจารณาจากหนังสือจากคณะกรรมการกลั่น กรองการใช้จ่ายเงินกู้ ที่ นร 1106/(คกง.) 207 ลงวันที่ 24 ส.ค.63 ระบุว่า หากใช้เงินกู้อุดหนุนบริษัทเอกชน ผลิตวัคซีน Viral Vector ต้องมีเงื่อนไขจำกัดสิทธิการส่งออก เพื่อให้ประเทศไทยได้รับสิทธิ์ในการซื้อวัคซีนที่ผลิต โดยผู้ผลิตในไทยเป็นอันดับแรก ในที่นี้คือบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด สุดท้ายประชาชนอยากรู้ว่านำเงินกู้หรือนำเงินส่วนไหนไปอุดหนุน เมื่อวันที่ 25 ส.ค.63 พลเอกประยุทธ์ ใช้อำนาจอนุมัติงบกลาง 600 ล้านบาท ไปอุดหนุนให้กับบริษัทสยามไบโอไซแอนซ์ จำกัด โดยไม่นำเงินกู้ไปอุดหนุน เพราะหากใช้เงินกู้ก็ต้องรับกับเงื่อนไขจำกัดการส่งออก พลเอกประยุทธ์จึงเลี่ยงไปใช้อำนาจของตนในการอนุมัติงบกลางไปอุดหนุนแทน
ต่อมา นายอนุทิน ลงนามใน Letter of Intent หรือ หนังสือแสดงเจตจำนงในการทำสัญญา โดยยอมรับข้อตกลงกับแอสตร้าเซนเนก้า ให้ส่งออกโดยปราศจากข้อจำกัด กลายเป็นข้อสังเกตว่า พลเอกประยุทธ์และนายอนุทินจึงไม่กล้าบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนฯ เพื่อจำกัดการส่งออกวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซแอนซ์ จำกัด
“วันนี้จำกัดการส่งออกยังไม่ได้เลย จะโทษบริษัทก็ไม่ได้ เพราะคุณไปทำสัญญาแบบนี้ไว้ตั้งแต่แรก” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่ออีกว่า ในช่วงเดือน ก.ค.2564 รัฐบาลได้รับมอบแอสตร้าเซนเนก้าเพียง 5.3 ล้านโดส สำหรับเดือน ส.ค.2564 มีการประเมินว่าจะได้รับ 5.8 ล้านโดส แต่ล่าสุดช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เข้าไปตรวจสอบในรายงานระบบติดตามตรวจสอบย้อนกลับโซ่ความเย็นวัคซีนโควิด-19 ที่จัดทำโดยศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทายลัยมหิดล ภายใต้สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ข้อมูลล่าสุดมีจนถึง 24 ส.ค.2564 ได้รับมอบแอสตร้าเซนเนก้า 3.2 ล้านโดสโดยประมาณ เมื่อหักจากที่ได้รับบริจาคจากอังกฤษ 415,040 โดส เท่ากับว่ารัฐบาลเพิ่งได้รับการส่งมอบแอสตร้าเซนเนก้า ที่ผลิตโดยบริษัท สยานมไบโอไซเอนซ์ จำกัด ประมาณ 2.8 ล้านโดส อย่างไรก็ตามต้องอัพเดตข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็มีความกังวลว่าเราจะได้วัคซีนมากขนาดไหนในเดือน ส.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ระหว่างที่นายวิโรจน์ได้อภิปรายนั้น เกิดการประท้วงขึ้นหลายครั้งจาก ส.ส.พรรคภูมิใจไทย อาทิ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ , นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ , นายรังสิกร ทิมาตฤกะ ส.ส.บุรีรัมย์ รวมถึง นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล , พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นอดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เพื่อประท้วงการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม จนในบางช่วง นายวิโรจน์ก็ยังได้กล่าวระหว่างการอภิปรายบางช่วงว่า “ท่านประธานเก่งนะครับ ฟังภาษางูออกด้วย”
นายกฯขอโทษกลางสภา ถ้าทำอะไรให้ไม่พอใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ , นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ , นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย และนายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย ได้สลับสับเปลี่ยนกันอภิปราย วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลที่ส่งผลให้เศรษฐกิจติดลบ 2 ปีซ้อน
ต่อมา เมื่อเวลา 11.30 น. พลเอกประยุทธ์ ชี้แจงว่า ตนเดินทางมารับฟังตั้งแต่เช้า เห็นหลายคนคงไม่มีใครพูดดีให้ตนอยู่แล้ว นี่เป็นหลักการสำคัญ คือค้านก็ต้องค้าน ทำลายก็ต้องทำลาย แต่ตนว่าประเทศชาติอยู่เหนือกว่านั้น และยืนยันว่าทำเพื่อประเทศชาติมาตลอด อาจมีอะไรที่ยังไม่สำเร็จบ้าง หรือสำเร็จไปแล้วท่านก็ไม่ได้ติดตาม ไม่ได้มองในแง่มุมดีๆ ไม่เคยเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านั้น กรุณาให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลและตนด้วย
พลเอกประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อเช้ามีการพูดหลายเรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องไร้วิสัยทัศน์ ไม่มองโลกภายนอก เป็นการดิสเครดิตอย่างเดียว ใช้คำว่าประชาชนทั่วประเทศ ก็ขอให้ทุกคนฟังไปแล้วกัน ส่วนนโยบายด้านการท่องเที่ยวมีรายละเอียดมากมายที่ต้องดำเนินการ เราเน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ ซึ่งมอบหมายให้ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา จะชี้แจงเกี่ยวกับการเปิดประเทศใน 120 วันต่อไป ส่วนตัวไม่ต้องการให้คนขาดความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันได้เตรียมความพร้อมเรื่องเศรษฐกิจไว้หลากหลายด้าน รวมถึงการดูแลประชาชน ที่มีมาตรการลดดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาชำระหนี้ และให้เงินผ่านมาตรการต่างๆ ดังนั้นขอให้ไปถามประชาชนว่า 30-40 ล้านคนว่าเขาได้รับกันหรือไม่
นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ ส.ส.แนะนำมาหลายเรื่องเป็นเรื่องดี ขอให้ช่วยกันในฐานะ ส.ส. อย่าทำให้เกิดการแปลกแยกเป็นสองฝ่าย เพราะถ้าไม่เกิดความร่วมมือ ทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่สำเร็จ ไม่อยากยกตัวอย่างไปเรื่องการชุมนุม ยังมีคนพูดว่าทำถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการไม่สมควรเลย หากจะมี ส.ส.ไปอยู่เบื้องหลังตรงนี้ เรามีกฎหมาย อย่าลืม ตนก็กลัวกฎหมาย กลัวเรื่องการทุจริต เพราะมีแบบอย่างมาแล้ว
“มีคนทุจริตมหาศาล มีคดี มีหลักฐานชัดเจน ถูกลงโทษ ติดคุก หนีคดี ท่านไม่ต้องมาขู่ผมหรอกครับ เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ผมเคารพเสมอมา ก็ว่ากันไป อย่าขู่ผมบ่อยนัก” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องหนี้สาธารณะเป็นเรื่องที่พูดแล้วพูดอีกว่ากู้ขาดดุลงบประมาณ แต่ขอให้ไปดูว่าที่กู้มาแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะมีหลายโครงการเกิดขึ้น บ้านเมืองแตกต่างไปจาก 5-7 ปีก่อนอย่างไร นั่นคือผลงานที่มองไม่เห็น พร้อมยกตัวอย่างในอดีตว่ามีการทำงบประมาณขาดดุลเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยมีโครงการใดๆเกิดขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า การเมืองก็คือการเมือง ตนเข้าใจ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจจะช้าลง เพราะมูลค่าการท่องเที่ยวที่เคยมี 40 กว่าล้านคน หายไป แล้วจะบอกว่าบริหารไม่ดี เขาไม่มาเที่ยว เพราะมีโควิด ขอให้ไปดูว่าประเทศอื่นๆ มีโควิดหรือไม่ เรื่องการบาดเจ็บล้มตายเขามีมากกว่าเราหรือไม่ ส่วนของเรา ตนเสียใจและขอโทษ ถ้าทำอะไรให้เกิดการไม่พอใจ
“ผมลูกผู้ชายพอ ผมไม่ใช้วิธีแยบยลที่จะบ่อนทำลายกัน ผมเขาเคารพนับถือในที่นี้หลายคน หลายท่านเป็นคนดี หลายท่านรักประเทศชาติ ผมรู้ว่าทุกคนรัก แต่บางคนอาจจะรักตัวเองมากกว่า ขอให้เลิกสักที ขอให้นึกถึงประเทศของเรา ทุกเช้าตื่นขึ้นมานึกถึงประเทศว่าจะทำอะไรได้บ้าง ถ้าคิดแต่จ้องทำลายกันทุกวัน ก็เป็นเรื่องของท่าน” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
โต้เอกสารไอโอไม่จริง สั่งสอบปมทหารถูกอมเบี้ยเลี้ยง
ต่อมา พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้รับมอบหมายให้ชี้แจงกรณีที่ ส.ส.ก้าวไกล อภิปรายเมื่อคืนที่ผ่านมาถึงปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) ของกองทัพภาคที่ 2 ที่มีการเผยแพร่เอกสารหลายฉบับ ที่อ้างว่าเป็นของกองทัพ ตั้งแต่การขอกำลังพล จัดอบรมในปฏิบัตการไอโอ
พลเอกชัยชาญ กล่าวว่า หากไม่ชี้แจงให้รับทราบ อาจมีการเข้าใจผิดในการดำเนินการ ขอเรียนว่าเรื่องนี้ได้ชี้แจงในสภาอันทรงเกียรติมาแล้ว 2-3 ครั้ง ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีนโยบายสั่งการให้หน่วยงานใดไปปฏิบัติการข่าวสารในลักษณะที่บิดเบือนหรือให้ร้ายบุคคลใด แต่ทุกคนคงทราบว่าปัจจุบันในโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน มีเฟกนิวส์ ข่าวลวง ข่าวปลอม ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ตาม เป็นการสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาน ก่อให้ความเสียหายต่อองค์กร เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องที่ทุกหน่วยต้องก้าวทันต่อสถานการณ์ ติดตามข้อมูลที่มีการเผยแพร่ และต้องสื่อสารทำความเข้าใจให้กับประชาชน
พลเอกชัยชาญ กล่าวยืนยันว่า กระทรวงกลาโหมได้มีการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โดยมีภารกิจสำคัญ 2 ประการ คือ 1.ชี้แจงข้อมูลสู่สาธารณชน ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง 2.ติดตามข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน และแจ้งให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ส่วนสิ่งที่ ส.ส.นำเอกสารมาอภิปรายนั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เป็นเอกสารในห้วงเดือน มี.ค.-ก.ค.2564 และมีเอกสารที่ไม่เป็นจริง มีจุดพิรุธต่างๆ ดังนี้
1.ลายเซ็นแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ปรากฏในเอกสารหลายฉบับไม่เหมือนกัน บางฉบับเป็นลายเซ็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 แต่ชื่อในวงเล็บกลับเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน
2.เอกสารที่มีอดีตผู้บัญชาการกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ลงนาม ทั้งที่บุคคลดังกล่าวได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่ได้ 1 ปีเศษ
3.ลายเซ็นแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ตรงกับของจริง และนามสกุลก็พิมพ์ไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหากเอกสารนี้เป็นฉบับจริง
4.รายชื่อในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการข่าวสาร และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ เขียนไม่ถูกต้องทั้งตำแหน่ง ยศ
5.เอกสารบางฉบับนำมาเผยแพร่ ระบุเลขที่หนังสือ 1121 แต่เมื่อตรวจสอบเลขที่หนังสือที่ออกไว้จนถึง 31 ส.ค.2564 พบว่ามีเพียง 851 ฉบับ
“ขอเรียนว่า กระทรวงกลาโหม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เคยมีนโยบายให้หน่วยต่างๆ ไปดำเนินการอะไรที่เป็นการบิดเบือน ให้ร้ายบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดๆ การดำเนินการของเรา คือ การประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ประชาชน เพื่อให้เกิดความสงบสุข ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง” พลเอกชัยชาญ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่พลเอกชัยชาญ ชี้แจงเสร็จสิ้น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประท้วงให้มีการอภิปรายอยู่ในประเด็น และมีประเด็นสำคัญที่ยังไม่ได้รับการชี้แจงคือ มีการอมเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการไอโอจริงหรือไม่ และขอพลเอกชัยชาญตอบคำถามดังกล่าว
โดย พลเอกชัยชาญ ลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้งว่า “เรื่องนี้ได้สั่งให้ตรวจสอบแล้ว ถ้าพบว่าผิดจริง จะต้องมีการลงโทษ”
ข่าวประกอบ
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage