อภิปรายไม่ไว้วางใจวันแรก ‘อนุทิน’ โชว์ใบสั่งซื้อ 'ซิโนแวค' ระบุล็อตล่าสุด ราคา 8.9 เหรียญสหรัฐฯ ส.ส.ก้าวไกล แฉปฏิบัติการไอโอภาคจบ เปิดขบวนการตั้งแต่ขอกำลังพล จัดอบรม ใช้ในปกป้องนายกรัฐมนตรี - ด้อยค่ากลุ่มเห็นต่างทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2564 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันแรก โดยจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ส.ค.- 3 ก.ย. รวม 4 วัน หรือ 58 ชั่วโมง 30 นาที โดยจะลงมติในวันที่ 4 ก.ย.2564
โดยรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประกอบด้วย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม , นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข , นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน , นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม , นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ตามลำดับ
แฉปฏิบัติการไอโอ ปกป้องนายกฯ-ด้อยค่ากลุ่มเห็นต่าง
เมื่อเวลา 21.30 น. นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะเรียกว่าเป็นการอภิปรายปฏิบัติการข่าวสารหรือไอโอภาคจบ โดยจะชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายเปิดให้เห็นถึงตัวบิ๊กบอส ผู้สรรค์สร้างการทำไอโอ เพื่อปกป้องสรรเสริญพลเอกประยุทธ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐชา ได้เปิดคลิปที่อ้างว่าเป็นของหน่วยงานในกองทัพ ได้แนะนำภารกิจนักรบไซเบอร์ ซึ่งระบุภารกิจการทงานทั้งการสนับสนุนนายกรัฐมนตรี ตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งนายณัฐชา ยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นข้อมูลจากคนในกองทัพ พร้อมอธิบายการทำงานของเพจอวตารของกองทัพ และเปิดเอกสารการอบรมข่าวสารของหน่วยงานหนึ่งในกองทัพ ที่ระบุว่า จะมาการส่งซิมการ์โทรศัพท์มือถือให้ผู้ที่รับภารกิจ และแบ่งเพจเฟซบุ๊กกันรับผิดชอบ รวมถึงการมีมอบรางวัลต่างๆให้กับหน่วยที่ปฏิบัติภารกิจดีเยี่ยม
นายณัฐชา อภิปรายต่อว่า การทำคลิปดังกล่าวเป็นการทำโดยหน่วยงานของกองทัพและคนในกองทัพได้ส่งมาให้ดู ว่าปัจจุบันนี้มีการทำกันอย่างเปิดเผยชัดเจน คงต้องตั้งคำถามว่าเป็นธุระอะไรของสายความมั่นคงที่จะต้องนำกำลังพลนำกำลังเงินไปปกป้อง ประชาสัมพันธ์ให้นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในฝ่ายบริหาร ในคลิปวิดีโอนี้พูดได้อย่างภาคภูมิใจว่าเราคือนักรบไซเบอร์ที่มีหน้าที่ปฏิบัติการภารกิจต่างๆไม่ว่าจะเรียกว่า งานขาว ต้องประชาสัมพันธ์การทำงานของนายกรัฐมนตรี งานเทา ตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามแก้ต่างแทนรัฐบาล และ งานดำ ปล่อยเฮทสปีช (Hate speech) แชร์เฟกนิวส์ (Fake News) ด้อยค่าผู้เห็นต่างทางการเมืองโดยใช้เพจอวตารไปคอยโจมตี
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายณัฐชา ยังได้เปิดภาพห้องทำงานของปฏิบัติการไอโอ พร้อมบรรยายถึงการประชุมคอนเฟอเรนซ์กับศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกที่ กทม.ที่ระบุว่า ชัดเจนว่ากองทัพมีส่วนรู้เห็น และมีอดีตรองโฆษกกองทัพบกเข้าร่วมประชุมด้วย โดยมีผู้ที่นั่งหัวโต๊ะคือรองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสารสนเทศ
นายณัฐชา กล่าวด้วยว่า ปฏิบัติการไอโอนั้น ข้างหลังพลคีย์บอร์ดก็มีครอบครัว มีเพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง ที่ต้องเจ็บช้ำ กลืนน้ำตาตัวเองหลายครั้งในการรับคำสั่งที่เลวร้าย และสิ่งที่เลวร้ายที่ส่งมาถึงตน คือ การจัดถ่ายภาพรับเบี้ยเลี้ยงที่มีการลงชื่อรับเงินในหน่วยดังกล่าว เดือนละ 7,440 บาทต่อคน ต้องส่งคืนและได้รับจริงคนละ 1,500 บาท
ทั้งนี้ยังมีหนังสือลงวันที่ 11 มิ.ย.2564 เพื่อขอกำลังพลมาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) 100 ราย และยังมีบันทึกข้อความ 27 มิ.ย.2564 เรื่องขออนุมัติจัดอบรมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานการปฏิบัติการข่าวสารและการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ เพื่อสนับสนุนการทงานของรัฐบาล กองทัพบก ในแต่ละด้านให้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน อย่างมีประสิทธิภาพ ห้วงเวลาเดียวกันนี้ เป็นห้วงเวลาที่บ้านเมืองถึงจุดวิกฤติที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี
นายณัฐชา ยังเปิดเผยบันทึกข้อความลงวันที่ 5 ก.ค.2564 เรื่องขออนุมัติปรับปรุงโครงสร้าง โดยมีการพูดถึงค่าตอบแทนปฏิบัติงานสนาม 240 บาทต่อคนต่อวัน หรือ 7,440 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ยังระบุว่าศูนย์ปฏิบัติการได้ปฏิบัติงานมาอย่างต่อเนื่องในห้วง 6 เดือนหลังปีงบประมาณ 2564 ดำเนินการไปในแนวทางมิติเทาและดำ เป็นหลัก คือ การด้อยค่าฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งเดือน ก.ค.2564 เริ่มมีการชุมนุมทางการเมือง โดยเน้นไปที่ทวิตเตอร์ และมีเจ้าหน้าที่ประจำตลอด 24 ชั่วโมง
โชว์ใบสั่งซื้อ'ซิโนแวค'ล็อตล่าสุดโดสละ 8.9 เหรียญสหรัฐฯ
เมื่อเวลา 20.57 ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ชี้แจงว่า การใส่ร้ายในวัคซีนซิโนแวค อาจทำความตื่นตระหนก สร้างความสับสนให้กับประชาชน เพราะมีประชาชนมากกว่า 3 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนชนิดนี้ ทั้งนี้ขอยืนยันว่าซิโนแวคเป็นวัคซีนที่ดี มีมาตรฐาน มีประสิทธิภาพ แต่เมื่อมีการกลายพันธุ์เป็นเดลต้า ประสิทธิผลของวัคซีนก็ลดลง ทุกยี่ห้อที่ใช้ในโลกปัจจุบันก็ลดประสิทธิผลการป้องกันการติดเชื้อไม่น้อยกว่ากันเท่าไร
อย่างไรก็ตาม ซิโนแวคเข้ามาในไทยตอนที่มีสายพันธุ์อัลฟ่า ประมาณสิ้นปี 2563 จนถึง มิ.ย.2564 โดยซิโนแวคอยู่ในแผนจัดซื้อของรัฐบาลไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะจัดซื้อจำนวนเท่าไร เมื่อเทียบกับแอสตร้าเซนเนก้าหรือวัคซีนอื่นๆ เพราะในปีที่แล้วเราสามารถควบคุมสถานการณ์โควิดได้ดี ไม่มีการติดเชื้อมาเกือบครึ่งปี จนปลายเดือน ธ.ค.2563 เกิดเหตุระบาดที่สมุทรสาคร กทม.และปริมณฑล ช่วงนั้นเรามีความจำเป็น กรมควบคุมโรคได้เร่งเจรจากับผู้ผลิตวัคซีน ที่เขาได้มีการสื่อสารกันอยู่แล้ว ซิโนแวคเป็นวัคซีนที่สามารถส่งให้เราได้เร็วที่สุด การเจรจาเริ่มต้นปลายเดือน ธ.ค.2563 และส่งได้เร็วที่สุดคือปลาย ก.พ.2564 และส่งได้เพียง 2 ล้านโดส ด้วยความร่วมมือที่ดี พวกเราก็ขอการประสานงานผ่านทางสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย
“ในที่สุดเราได้วัคซีน ด้วยความสัมพันธ์ที่ดี บ้านพี่เมืองน้อง ไทยจีนใช่อื่นไกล ผมถึงมีความจำเป็นมากที่ต้องชี้แจงเพราะการพูดถึงซิโนแวคเปรียบเสมือนพูดถึงจีน จะบอกว่าของพี่ของน้องไม่ดี เป็นเซิ่นเจิ้น ด้อยค่า เกรด D ไม่ได้หรอกครับ ผมเชื่อว่าที่เรายังไม่มีอาการรุนแรง มีบางคนติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ก็เพราะอานิสงส์ของการมีซิโนแวคอยู่ในร่างกาย” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า เรื่องของราคาที่บอกว่าซื้อแพงมาก ราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ นั่นคือการซื้อครั้งแรก ซื้อเพียง 2 ล้านโดส นำมาใช้กรณีฉุกเฉิน ความจริงราคาสูงกว่านั้น แต่ด้วยการประสานของกระทรวงสาธารณสุข ผ่านสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ทำให้ได้ราคานี้ โดย 17 เหรียญสหรัฐฯ เป็นราคามาถึงไทย ภาษีไม่เสียอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับราคาซื้อวัคซีนซิโนแวคโดยองค์การเภสัชกรรมที่นายอนุทิน นำมาชี้แจงมีรายละเอียด ดังนี้
ครั้งที่ 1-4 จำนวนสั่งซื้อ 1,992,000 โดส ราคา 17 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส มูลค่ารวม 33,864,000 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 5-10 จำนวนสั่งซื้อ 7,500,000 โดส ราคา 15 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส มูลค่ารวม 112,500,000 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 11 จำนวนสั่งซื้อ 6,000,000 โดส ราคา 14 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส มูลค่ารวม 84,000,000 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 12 จำนวนสั่งซื้อ 2,400,000 โดส ราคา 9.5 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส มูลค่ารวม 33,864,000 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 13-14 จำนวนสั่งซื้อ 1,600,000 โดส ราคา 9 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส มูลค่ารวม 14,400,000 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 15 จำนวนสั่งซื้อ 4,000,000 โดส ราคา 8.9 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส มูลค่ารวม 35,600,000 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 16 จำนวนสั่งซื้อ 7,000,000 โดส ราคา 8.9 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส มูลค่ารวม 62,300,000 เหรียญสหรัฐฯ
รวมจำนวนสั่งซื้อซิโนแวค 30,492,000 โดส มูลค่ารวม 365,464,000 เหรียญสหรัฐฯ
นายอนุทิน กล่าวต่อไปว่า จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ล็อตแรกจนถึงปัจจุบัน ราคาถูกลงเรื่อยๆ ขอให้ไม่ต้องห่วง เพราะการจัดซื้อทุกขั้นตอนโปร่งใส ตรวจสอบ โดยใบสั่งซื้อ ขององค์การเภสัชกรรมที่มีไปยังซิโนแวคที่เราได้ซื้อวัคซีนในราคาล่าสุดที่ 8.9 เหรียญสหรัฐฯจริงๆ ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนไขว้ ขอให้เป็นเรื่องทางวิชาการ ทางคณะแพทย์คงจะได้ออกมาชี้แจง และกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ชี้แจงมาหลายโอกาสแล้ว
นายอนุทิน กล่าวยืนยันว่า สำหรับผู้ที่ฉีดซิโนแวคไปแล้ว 2 เข็ม ก็ไม่ต้องกังวล สิ้นเดือนนี้จะได้ฉีดบูสเตอร์โดส จะเป็นแอสตร้าเซนเนก้า หรือ ไฟเซอร์ แน่นอน นี่คือสิ่งที่รัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง รัฐบาลต้องการให้ประชาชนมีภูมิต้านทาน ปลอดภัยจากโควิด และเมื่อได้วัคซีนเข็ม 3 ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะไทย ไม่ได้ฟลุ๊ค แค่มีผลการศึกษาชัดเจน และ WHO ก็ยอมรับ ส่วนปีหน้านายกรัฐมนตรีท่านได้อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขคอนเฟิร์มวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอีก 60 ล้านโดส
“เราออก Letter of Interest ให้กับไฟเซอร์ 50 ล้านโดส ให้โมเดอร์นา 30 ล้านโดส คอนเฟิร์มกับแอสตร้าเซนเนก้า 60 ล้านโดส และเขาจะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตต่อไป ฉะนั้นความมั่นคงทางวัคซีน การที่คนไทยจะมีวัคซีนเต็มแขนครับ ทุกวันนี้ 30 กว่าล้านโดสจะไม่เต็มแขนได้อย่างไรครับ ผมพูดแล้วว่าตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป วันนี้ 31 ส.ค.เราก็ยังอยู่ในไตรมาส 3 จนถึงสิ้นปีหากคนไทยได้วัคซีนครบ 100 – 120 ล้านโดส ก็เต็มแขน ผมไม่ได้ผิดคำพูดตรงไหนเลย” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการจัดซื้อชุดตรวจ ATK ที่ สปสช.ได้สนับสนุน ออกงบประมาณจัดสรรให้ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า ผ่านสถานพยาบาลต่างๆ การเริ่มสั่งซื้อ 8.5 ล้านโดส สปสช.ซื้อเองไม่ได้ เพราะมี ม.44 สมัย คสช.ห้ามให้เขาซื้อเวชภัณฑ์ จึงต้องใช้กลไกของกระทรวงสาธารณสุขทำการจัดซื้อ ซึ่งในที่สุดได้มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมเป็นคนจัดซื้อ โดย ATK เป็นเวชภัณฑ์ เป็นเครื่องมือแพทย์ ต้องผ่านการรับรอง อย. เขามีสิทธิ์เข้าประมูล จะไม่บอกว่ามี WHO หรือไม่นั่นเป็นเรื่องรอง เรื่องนี้ไม่มีการล็อกสเปก มีคนร่วมประมูล 17 ราย ผ่านคุณสมบัติทุกราย และผู้ที่ได้รับการทำสัญญาคือผู้ที่เข้าประมูลในราคาต่ำสุด
“ตอนราคา 300 บาทท่านก็ว่า ท่านก็บ่น ตอนราคา 200 บาทท่านก็บอกว่ายังแพง ตอนราคา 120 บาทท่านก็บอกว่าดีแล้ว แต่ยังแพงอยู่ แต่พอวันนี้เหลือ 65 บาทแล้วจะผิดอย่างไรอีกครับ ถ้าซื้อมากขึ้นอีก เดี๋ยวจะเห็นเหมือนที่ท่านว่าเหลือ 30-45 บาท แต่เราต้องซื้อมากเมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่ง อภ.เตรียมไว้อยู่แล้ว” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ขอเคลียร์ตรงนี้เลยว่า ตนไม่ทราบว่า มีประโยคนั้นออกมาได้อย่างไร แต่ว่าได้รับการแก้ไขใน ครม.แล้ว ตนอยู่ร่วมประชุมที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขกับนายกรัฐมนตรีทุกครั้งที่มีการประชุม วันที่ตนเห็นมติ ครม.ออกมา ตนได้เขียนข้อความไปหานายกรัฐมนตรีว่า ท่านพูดตอนไหน ตนไม่ได้ยิน นายกรัฐมนตรีก็บอกว่าไม่ได้พูด เราจึงได้นำเทปมาดูย้อนหลัง จึงพบว่าไม่มีการพูด เมื่อพบความผิดพลาดในการพิมพ์ ก็ได้มีการแก้ไข ทั้งนี้หลักการก็คือ นายกรัฐมนตรี บอกว่าขอให้จัดซื้อ ด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม มีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ ฉะนั้น อภ.ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องทำตามนโยบายของรัฐบาล ด้วยคามเป็นรัฐวิสาหกิจต้องมีธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส มีคณะกรรมการมากมาย เรื่องของการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริต ไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรื่องทุจริตไม่มีในกระทรวงนี้
‘ทวี’ อัด ‘ประยุทธ์-เฉลิมชัย’ ทุบราคายางตกต่ำ
เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ส่วนนายเฉลิมชัย เป็นรองประธาน กนย. โดยตนมีข้อมูลที่น่าเชื่อได้ว่าทั้ง 2 คน ร่วมกันกระทำความผิดกฎหมายหลายฉบับ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ร่วมกันบงการ ใช้จ้างวานหรือยุยงส่งเสริมให้ กนย.กระทำผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือที่เรียกว่าฮั้วประมูล กระทำผิดไม่ชอบด้วยกฎหมาย รธน. วินัยการเงินการคลัง ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และที่สำคัญคือ ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า การกระทำความผิดเริ่มตั้งแต่ 14 ก.ย.2563 และความผิดสำเร็จเมื่อ 28 เม.ย.2564 โดยบุคคลทั้ง 2 คน ได้นำยางในสต็อกของรัฐบาลที่มีจำนวน 104,000 ตันเศษ นำออกไประบายหรือฮั้วประมูล ซึ่งยางดังกล่าวมาจากโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ที่มีจำนวน 53,000 ตันเศษ และอีกโครงการเกิดในสมัยพลเอกประยุทธ์ คือ มูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ประมาณ 51,000 ตันเศษ มูลค่าสินค้าดังกล่าวเรามีหนี้สินหรือต้องชำระหนี้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไปชดเชยราคาเกือบ 1 หมื่นล้านบาท แต่กลับพบว่ามีการนำยางไปขายราคาเพียง 37.27 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคา ณ ขณะนั้นอยู่ที่ 65.80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่างกันเกือบ 30 บาท ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงอย่างกับรัฐบาล ระบบธุรกิจ และที่สำคัญเกิดความเสียหายกับเกษตรกรชาวสวนยางที่มี 1.7 ล้านครอบครัว
พ.ต.อ.ทวี กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2563 ครม.อนุมัติดำเนินการระบายยางในสต๊อก ก่อนที่จะมีมติอีกครั้งเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2563 ให้เร่งการระบาย โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการ โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาและระดับราคาจำหน่ายที่เหมาะสม
นอกจากนี้มีการทุบราคายางผ่านคณะกรรมการบริหารสต็อกยาง โดยเมื่อเดือน มี.ค.64 ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 37 บาท ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่กิโลกรัมละ 67 บาท แต่ทีโออาร์ก็ล็อกสเปกต้องเหมาทั้ง 17 โกดัง จำนวนแสนกว่าตัน โดยกำหนดให้ต้องแสดงหลักฐานการเงิน 1 พันล้านบาท วางหลักประกัน 200 ล้านบาท
สุดท้ายวันที่ 20 เม.ย.2564 มีเพียงบริษัทเสนอราคารายเดียวและชนะประมูล ซึ่งราคาส่วนต่างนี้ ทำให้เงินหายไปมาก เป็นหนี้สาธารณะ เป็นภาษีอากรของคนตัวเล็กตัวน้อย และหลังจากเซ็นสัญญาซื้อขาย ครม.แปลงสารโดยสั่งให้ระบายยางออกให้หมดโดยเร็ว ซึ่งนอกจากตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทุบราคาแล้ว ยังปิดบังสัญญาซื้อขายด้วย
ซัดแก้ข้อสั่งการจัดซื้อ ATK ไม่สุจริตต่อประชาชน
ต่อมา เวลา 16.47 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้ พลเอกประยุทธ์ และนายอนุทิน มีสำนึกรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นกับประชาชน และประเทศชาติ หลังจากมีผู้ป่วยโควิดและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดย นพ.ชลน่าน ได้นำ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่พร้อมใจกันใส่ชุดดำ ลุกขึ้นไว้อาลัยและแผ่เมตตาให้กับผู้เสียชีวิตจากโควิด พร้อมยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที
นอกจากนั้น นพ.ชลน่าน กล่าวตอนหนึ่งด้วยว่า หลังจากอภิปรายเสร็จจะมีคำร้องยื่นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พร้อมระบุตอนหนึ่งถึงข้อกล่าวหาพลเอกประยุทธ์ ว่าปฏิบัติ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี ที่สำคัญคือการละเมิดข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี จากกรณีจัดซื้อจัดหาชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) โดยเจตนารมณ์ของความต้องการชุดตรวจ ATK 8.5 ล้านชุด เกิดจากกรณีชมรมแพทย์ชนบท เดินทางเข้า กทม.ตามคำร้องขอสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อช่วยตรวจหาเชื้อเชิงรุก โดย สปสช.จะเป็นผู้จัดหาชุด ATK เพื่อนำไปใช้ในการคัดกรอง วินิจฉัยและนำตัวไปรักษา ซึ่งเป็นชุดตรวจสำหรับบุคลากรแพทย์และสาธารณสุข หรือ Professional Use ซึ่งเป็นชุดตรวจที่หมอต้องการเพราะการวินิจฉัยมีความแม่นยำ จึงนำไปสู่การกำหนดทีโออาร์และเงื่อนไขการประมูล ส่วน Home Use ที่เป็นชุดตรวจ ไม้ก้านสั้น
นพ.ชลน่าน กล่าวด้วยว่า เมื่อเปรียบเทียบข้อกำหนดหรือสเปก มีการตัดข้อความ Nasopharyngeal Swab ที่เป็นชุดตรวจไม้ก้านยาวสำหรับบุคลากรแพทย์ออกไป เหลือเพียง Nasal Swab เป็นไม้ก้านสั้น ซึ่งส่งผลกระทบถึงความแม่นยำในการตรวจหาเชื้อ นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการรอบแรก ได้กำหนดให้ชุดตรวจ ATK ต้องผ่านการรับรองจาก WHO และต้องมีความแม่นยำ ซึ่งน่าจะมีผลทำให้เกิดการล้มประมูลไปแล้ว ก่อนที่จะมีการแก้ไขข้อสั่งการโดยไม่ต้องผ่านการรับรอง WHO และตัดคำว่าเรื่องความแม่นยำในการตรวจออก เรื่องนี้พลเอกประยุทธ์ กลืนน้ำลายตัวเอง เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า ถามว่ากรณีดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายด้วยหรือไม่ ชอบด้วยเหตุและผลที่จะปกป้องคุ้มครองชีวิตประชาชนหรือไม่ ซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาชนหรือไม่ การกระทำของท่านทรยศต่อประชาชน และมีเจตนาไม่สุจริต เป็นการกระทำผิดหน้าที่อย่างทุจริต เราเตรียมคำร้องไว้เรียบร้อย
“ขอกราบเรียนไปถึงนายกรัฐมนตรี เป็นชายชาติทหาร ถวายสัตย์ปฏิญาณ ท่านอาจมีเจตจำนงที่ดีในการช่วยบ้านเมือง แม้ว่าระบบที่ท่านอยู่อาจทำให้ท่านเป็นคนแบบนี้ แต่ถ้าท่านมีมโนธรรมสำนึกที่ดี รับผิดชอบต่อบ้านเมือง ขอให้ท่านยืนขึ้นประกาศว่าขอรับผิดชอบ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ 3 เดือนให้หลัง ท่านจะเป็นวีรบุรุษในหัวใจของพวกเรา” นพ.ชลน่าน กล่าว
นายกฯยันไม่เคยสั่งซื้อ ATK มี WHO รับรอง
เมื่อเวลา 18.30 น. พลเอกประยุทธ์ ชี้แจงว่า การบริหารสถานการณ์โควิดแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ จัดเตรียมแผนเผชิญเหตุตามขั้นตอนรับมือโรคระบาด และกำหนดมาตรการควบคุมโรคที่สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่วนการจัดซื้อชุดตรวจ ATK 8.5 ล้านชิ้น ขอกราบเรียนว่าในการประชุม ศบค. ไม่เคยสั่งการให้จัดซื้อ ATK ที่ผ่าน WHO และเมื่อถอดเทปการประชุมก็พบว่าไม่ได้สั่งจริง อันนี้คงต้องไปพิสูจน์กันอีกทีว่าพูดจริงหรือไม่ และตอนเอาผล ศบค.เข้าสู่การประชุมเพื่อทราบ ก็ยังไม่มีการรับรองรายงานการประชุม
“ผมจำได้ว่า ผมไม่ได้พูด เพราะว่าผมสอบถามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ข้อมูลจากคณะแพทย์ ก็ไม่มี ATK ชนิดใดที่ WHO รับรองให้ใช้สำหรับประชาชน มีแต่เฉพาะให้กับบุคลากรทางการแพทย์” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนการจัดหาวัคซีน รัฐบาลไม่ปิดกั้นให้ภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีน ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบและต้องมีตัวแทนของบริษัทในประเทศไทย รัฐบาลยังจะมีการจัดหาวัคซีนอย่างต่อเนื่อง และได้รับการยืนยันว่าจะสามารถจัดหาให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ครบจำนวน 61 ล้านโดส และจะสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนที่สามารถผลิตได้ในประเทศด้วย กรณี COVAX รัฐบาลพยายามพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุดก่อนเพื่อการวางแผนบริหารจัดการสถานการณ์อย่างเป็นระบบ ในระยะที่ 2 สามารถดำเนินการร่วมกับ COVAX ได้เพราะว่ามีการปลดล็อกต่าง ๆ หากไทยมีวัคซีนมากเกินพอก็พร้อมดูแลอาเซียนประเทศเพื่อนบ้านด้วย
แฉเอกสารซื้อ'ซิโนแวค' 5 ครั้งมีส่วนต่าง 2 พันล้านบาท
เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า สถานการณ์โควิด-19 มีผู้ป่วยหลักล้านคนและมีผู้เสียชีวิตหลักหมื่นคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อใกล้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ตัวเลขผู้ป่วยและเสียชีวิตกลับลดลงอย่างมีนัยยะ เป็นเรื่องที่ต้องหาข้อเท็จจริงต่อไปว่าเป็นการปรับปรุงตัวเลขให้ดูดีในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่
นายประเสริฐ กล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่น่าเสียใจที่สุด คือสิ่งที่คนไทยยอมรับไม่ได้คือการค้าความตาย หากินผลประโยชน์บนความตายของประชาชน การจัดหาวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพสูงสุด ตามมติ ครม.เมื่อ 2 มี.ค.64 เป็นวัคซีนประสิทธิภาพต่ำ แต่ราคาแพง เอื้อประโยชน์ให้เอกชน การซื้อวัคซีนรายเดียว ทั้งที่มีวัคซีนหลายยี่ห้อมีคุณภาพสูงกว่า เป็นการทำลักษณะผูกขาดตัดตอน ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน ไม่รอบคอบ ไม่ระมัดระวัง การทำสัญญากับรัฐและบริษัทเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง โดยวัคซีนที่กล่าวถึงคือ วัคซีนเส้นใหญ่ โดยมีข้อสังเกต ดังนี้
1.หลีกเลี่ยงการจัดซื้อจัดจ้างตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ใช้คำสั่งที่พลเอกประยุทธ์ อาศัยอำนาจนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เฉพาะเจาะจงจัดซื้อซิโนแวค พลเอกประยุทธ์และนายอนุทิน มอบหมายกรมควบคุมโรคและองค์การเภสัชกรรม ตัดสินใจเอาซิโนแวค เดิมมีเป้าหมายฉีดแค่ 10% ของประชากร แต่วันนี้เข้ามาในไทยแบ้ว 19.5 ล้านโดส เป็นจำนวนมากกว่าแอสตร้าเซนเนก้าที่เป็นวัคซีนหลัก
2.หลอกหลวงประชาชน ทำให้เข้าใจผิดว่าการจัดซื้อซิโนแวค เป็นการจัดซื้อระหว่างรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) แต่ข้อเท็จจริงไม่ใช่ เพราะเป็นการจัดซื้อโดยองค์การเภสัชกรรม ที่มีคนกล่าวก่อนหน้านี้ว่า องค์การเภสัชกรรม (อภ.) คือนายหน้าค้าความตาย ค้าวัคซีนซิโนแวค ถ้าเป็นการจัดซื้อจีทูจีจะต้องได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีศุลกากร โดยมีหลักฐานยืนยันว่าการจัดซื้อนี้เป็นการจัดซื้อเชิงพาณิชย์ พบว่ามีใบนำเข้าซิโนแวค เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 6.89 ล้านบาทสำหรับการซื้อล็อตแรก 2 ล้านโดส
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า นายหยาง ซิน อุปทูตจีน ระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแรกนำเข้าวัคซีนเชิงพาณิชย์ เป็นการจัดซื้อที่รัฐบาลไทยซื้อกับบริษัทซิโนไบโอฟาร์มาซูติคอลจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนในจีน บริษัทนี้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เป็นที่ทราบกันดีกว่ามีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับเจ้าสัวใหญ่ในเมืองไทย เป็นกลุ่มทุนที่มีความผูกพันอย่างยิ่งกับรัฐบาล แม้ไม่มีตัวแทนจำหน่ายในไทย แต่การค้าแบบนี้มีนายหน้า ซึ่งหมายถึงการมีค่าส่วนต่าง การมีเงินทอน ส่งผลให้วัคซีนซิโนแวคที่ขายให้คนไทย นอกจากมีคุณภาพต่ำ ยังมีราคาสูง
นอกจากนี้ยังพบว่า การเปรียบเทียบราคาซื้อซิโนแวค 2 ล้านโดสเมื่อ 5 ม.ค.2564 ราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 556.24 บาท แต่อินโดนีเซียซื้อ 460 บาท บราซิลซื้อ 337.02 บาท เฉพาะข้อแตกต่างการจัดซื้อนี้ ไทยซื้อแพงกว่าอินโดนีเซีย 192.48 ล้านบานท แพงกว่าบราซิล 438.44 ล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า พลเอกประยุทธ์และนายอนุทินเป็นตัวการรู้เห็นเป็นใจกัน ในลักษณะแบ่งแยกหน้าที่กันทำเป็นขบวนการทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติ การจัดซื้อซิโนแวคเพื่อฉีดให้ประชาชนในประเทศหลายครั้ง เป็นการจัดซื้อเกินความเป็นจริง โดยเมื่อวันที่ 6 ก.ค. จัดซื้อ 10.9 ล้านโดส วงเงินค่าวัคซีนอย่างเดียว 6,064 ล้านบาท นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์และนายอนุทินได้กระทำการจัดซื้อวัคซีนโดยเร่งรัด ซื้อในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมถึง WHO ยังไม่ได้ให้การรับรอง พบว่าระยะเวลาการเจรจายกร่างสัญญาใช้เวลา 27 วัน เรียกว่าเร็วมาก ตั้งแต่ 4 ม.ค.ที่เริ่มจัดหา และ 1 ก.พ.ก็เริ่มมีการสั่งซื้อ ในขณะที่วัคซีนอื่นมีกระบวนการที่ช้า
นอกจากนั้น การซื้อซิโนแวค ไม่ชอบมาพากล ขัดต่อมติ ครม. 2 มี.ค.2564 ที่ว่า การจัดซื้อต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ คนไทยได้รับการฉีดอย่างทั่วถึงและวัคซีนต้องมีประสิทธิภาพสูงสุด มีการเดินหน้าซื้อซิโนแวคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า 6 ก.ค.2564 ซื้อซิโนแวค 10.9 ล้านโดส ราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ วันที่ 16 ส.ค.2564 มติ ศบค.ให้จัดซื้อซิโนแวคอีก 12 ล้านโดส ตามแผนจะทำให้ไทยมีซิโนแวค 31.5 ล้านโดส
นายประเสริฐ กล่าวต่อด้วยว่า มีข้อมูลที่พลเอกประยุทธ์และนายอนุทินที่ได้ดำเนินการที่ส่อไปในทางทุจริตในการจัดซื้อซิโนแวค โดยมีหลักฐาน 2 ชุด ชุดแรกเป็นเอกสารจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข มอบข้อมูลวัคซีนซิโนแวคที่แสดงให้เห็นแผนการนำเข้า แผนการส่งจริง ราคาซื้อต่อโดส ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ ปรากฏตามตาราง วันเวลาและการสั่งซื้อ ดังนี้
การซื้อซิโนแวคมีทั้งหมด 5 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 ซื้อในราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่ง ครม.อนุมัติซื้อราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 2 ครม.อนุมัติซื้อในราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ บริษัทขายให้ 15 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 3 ครม.อนุมัติซื้อในราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ บริษัทขายให้ 14 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 4 ครม.อนุมัติซื้อในราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ บริษัทขายให้ 9.5 เหรียญสหรัฐฯ
ครั้งที่ 5 ครม.อนุมัติซื้อในราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ บริษัทขายให้ 9 เหรียญสหรัฐฯ
“เอาราคาตามที่ ครม.อนุมัติ คิดเป็นเงิน 331 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทย 10,846.68 ล้านบาท ส่วนราคาจัดซื้อจริง คิดเป็น 267 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 8,748.15 ล้านบาท ส่วนต่างราคา 2,098 ล้านบาทเศษ เงินตรงนี้อยู่ที่ไหน อยู่ในกระเป๋าใคร” นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับเอกสารชุดที่สอง เป็นบันทึกการประชุมคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาของผู้บริโภคในกรรมาธิการคุ้มครองผุ้บริโภค การประชุมเมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564 เป็นการประชุมครั้งที่ 89 พบว่าบันทึกการประชุมหน้าที่ 7 บอกว่า ไทยจัดซื้อซิโนแวค 18.5 ล้านโดส และได้รับบริจาคจากจีน 1 ล้านโดส โดยทำการซื้อขายลักษณะครั้งต่อครั้ง เมื่อผลิตได้เท่าไร ก็จะแจ้งให้องค์การเภสัชกรรมทราบ และจัดซื้อเป็นครั้งคราว มิได้ลงนามในสัญญาจ้าง ทั้งนี้ซิโนแวคลดราคาวัคซีนมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละครั้งที่มีการซื้อ โดยราคาเริ่มต้นครั้งที่หนึ่งอยู่ที่ 17 เหรียญสหรัฐฯ กระทั่งการจัดซื้อครั้งที่ 5 อยู่ที่ 9 เหรียญสหรัฐฯ
นายประเสริฐ กล่าวต่อด้วยว่า กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติซื้อซิโนแวค 10.9 ล้านโดส วงเงิน 6,064 ล้านบาท ทั้งที่มติคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ระบุว่าไม่ต้องซื้อยี่ห้อเดียว ทำให้พบความจริงว่า การจัดซื้อซิโนแวคล็อต 10.9 ล้านโดสตั้งแต่ 7 ก.ค.- 31 ส.ค. มีการจัดซื้อ 3 ครั้ง บริษัทคิดราคาค่าวัคซีนในราคาต่างกัน ครั้งแรก จำนวน 14 เหรียญสหรัฐฯ ครั้งที่ 2 จำนวน 9.5 เหรียญสหรัฐฯ และครั้งที่ 3 จำนวน 9 เหรียญสหรัฐฯ เอาราคาส่วนต่างที่ ครม.อนุมัติ กับราคาซื้อจริง พบส่วนต่าง 49 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือ 1,603.28 ล้านบาท
“เรื่องนี้พลเอกประยุทธ์ต้องตอบว่ามีส่วนต่างจริงหรือไม่ เหตุใดไม่ป้องกันการทุจริต อนุมัติงบประมาณตามที่ซื้อจริงในแต่ละครั้ง และต้องเอาเอกสารมาแสดงต่อที่ประชุมด้วย หากชี้แจงไม่ได้ ผมว่าท่านตั้งใจโกง” นายประเสริฐ กล่าว
ส่วนการจัดซื้อวัคซีนต่อไปอีก 12 ล้านโดส โดสละ 17 เหรียญสหรัฐฯ ทั้งที่วัคซีนที่บริษัทขายให้จริง 9 เหรียญสหรัฐฯ จะมีผลต่าง 8 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส ซึ่งจะมีผลต่างราคา 96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 3,133 ล้านบาท นี่คือการหากินบนความตายของประชาชน ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ถือเป็นการโกงแบบไร้ยางอาย ปกปิดข้อมูลไม่เปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบ เหตุไม่บอกว่า การซื้อครั้งหลังซื้อในราคา 9 เหรียญสหรัฐน เพราะ ครม.อนุมัติ 6 ก.ค.2564 ก็อนุมัติที่ราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ
นายประเสริฐ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอกล่าวหาพลเอกประยุทธ์ และนายอนุทิน จงใจละเว้นการปฏิบัติผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเสียสละเปิดเผย ขาดความรอบคอบและขาดความระมัดระวัง และร่วมกันจัดหาจัดซื้อวัคซีนไม่โปร่งใสเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง แสวงหาระโยชน์บนความตาย และกีดดกันวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ไม่ระมัดระวังการทำสัญญา ทำให้ประเทศขาดแคลนวัคซีน ข้อเรียกร้องของประชาชนที่ให้พลเอกประยุทธ์ลาออก เพราะเห็นว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หากอยู่ต่อเกรงว่าจะนำพาประเทศไปเสียหายมากกว่านี้
@ผู้นำฝ่ายค้าน อัด 'บิ๊กตู่' เป็นผู้นำโอหังคลั่งอำนาจ
เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อ่านญัตติเปิดอภิปราย รวมถึงกล่าวถึงความล้มเหลวของรัฐบาล ว่า ประเทศไทยในเวลานี้มาถึงจุดวิกฤติอีกครั้ง คือ วิกฤติโรคระบาดที่คนไทยกำลังเผชิญอยู่อย่างหนักในเวลานี้ เป็นวิกฤติที่เลวร้ายรุนแรงยิ่งกว่าวิกฤติโลกคือวิกฤติผู้นำรัฐบาล ที่โอหังคลั่งอำนาจ ไร้ประสิทธิภาพและน่าละอาย ขาดความรู้ความสามารถในการจัดการปัญหา บริหารประเทศไทยอย่างไร้ระบบ ไม่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงระบบการบำบัด รักษา ฟื้นฟู เยียวยา ป้องกันและดูแลประชาชนในทุกพื้นที่ ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ และพวก ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส ไม่สามารถเปิดเผยข้อเท็จจริงในการจัดสรรงบประมาณ โดยเฉพาะในสถานการณ์เร่งด่วน ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและประชาคมโลก แต่ในทางตรงกันข้ามกลับสะท้อนภาพการบริหารล้มเหลว ไร้ยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ในเชิงป้องกันปัญหา มีแต่การแก้ปัญหาผ่านคำแถลง ที่เอาแต่ตำหนิประชาชน บริหารงานด้วยปาก พ่นคำพูดและเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้ประชาชน เป็นผู้นำหลงตัวเอง หลงอำนาจ ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง
นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาของผู้นำของเราแบบเก่งคนเดียว รวบอำนาจทั้งหมดไว้ที่ตัว แต่ขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดความสนใจที่จะรับฟังเสียงประชาชน ทุกวันนี้การบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ มีสภาพเป็นผู้นำที่ขับเคลื่อนการทำงานแล้วถูกด่าประจำ ทุกวันนี้ประชาชน ต้องส่งเสียงก่นด่าที่กลั่นออกมาจากความคับแค้นของประชาชน
“คนไทยติดเชื้อสะสมกว่า 1 ล้านคน และเกินกว่า 1 หมื่นชีวิตที่ต้องจากครอบครัวไปโดยไม่มีโอกาสร่ำลา ขอถามท่านประธานไปยังท่านนายกรัฐมนตรีว่า ท่านรู้สึกกับตัวเลขเหล่านี้บ้างหรือไม่ ท่านเคยบอกว่าไม่อยากเห็นคนเจ็บ คนตายข้างถนน ขณะที่ท่าน work from home ไม่เคยลงมาจากหอคอยเพื่อร่วมทุกข์กับประชาชน ท่านไม่อยากเห็นภาพเหล่านี้เพราะอะไร ผมคิดว่าเป็นเพราะท่านกลัวความจริง ไม่กล้าเผชิญกับความจริง ที่คือภาพความจริงที่จะสะท้อนถึงการบริหารที่ไร้สมอง ไร้หัวใจของผู้นำอย่างท่าน” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวด้วยว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) มีอำนาจล้นฟ้า แต่กลับบริหารงานล้มเหลวไม่เป็นท่า สร้างความเสียหายมาจนถึงวันนี้ การระบาดของโรคทุกครั้ง เกิดด้วยความบกพร่องของรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล ทั้งแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย บ่อนผิดกฎหมาย รวมถึงระบอกล่าสุดจากคลัสเตอร์ทองหล่อ เป็นต้นตอการแพร่ระบาดครั้งใหม่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงจนถึงวันนี้
เรื่องวัคซีน ทั้งที่รู้ว่าคือทางออก ทางรอดของประชาชน แต่รัฐบาลบริหารบกพร่อง ย่ำแย่ ประมาทเลินเล่อ สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชีวิตประชาชนและระบบเศรษฐกิจ ขอเรียนชี้แจงดังนี้
- ปฏิเสธสั่งซื้อวัคซีนให้หลากหลายชนิด แต่กลับทุ่มหมดหน้าตักไปกับวัคซีนเพียงตัวเดียว ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีวัคซีนน้อยชนิดที่สุด
- ปฏิเสธการเข้าร่วม Covax อ้างเหตุผลต่างๆ แต่ในที่สุดเพื่อทนต่อเสียงก่นด่าของประชาชน และสถานการณ์ที่บีบคั้นไม่ได้ จึงกลับตัวเข้าร่วมโครงการ แต่ช้ากว่าประเทศอื่นเป็นปี เสียโอกาสที่จะได้รับวัคซีนไปหลายสิบล้านโดส
- สั่งวัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนหลักของประเทศ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ทั้งที่รู้ว่าเป็นวัคซีนคุณภาพต่ำ แต่รัฐบาลยังคงยืนยันจัดซื้อ และขอถามว่าเหตุใดวัคซีนประสิทธิภาพต่ำ จึงมีราคาแพงว่าวัคซีนอื่นที่มีคุณภาพ และเหตุใดยังสั่งซื้อซ้ำซากไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสมพงษ์ อ่านญัตติไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์นั้น นายสมพงษ์ ได้อ่านชื่อนายกรัฐมนตรีผิดถึง 2 ครั้ง โดยอ่านว่า พลเอกประยุทธ์ ยงใจยุทธ ขณะเดียวกัน นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ยังได้ประท้วงอยู่หลายครั้งเกี่ยวกับถ้อยคำญัตติดังกล่าว
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/