สธ.ยันยาฟาวิพิราเวียร์มีประสิทธิภาพรักษาโควิดได้ ให้เร็วภายใน 4 วัน ลดอาการรุนแรงได้ 30% ติดตามผลการศึกษายาชนิดใหม่ๆ-ยาไอเวอร์เม็คติน พร้อมพิจารณาเตรียมฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้ประชาชนที่ได้รับวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็ม
----------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2564 นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงประเด็นยารักษาโควิด-19 ว่า จากที่มีข้อซักถามกรณีโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ได้มีการทบทวนผลการศึกษาหลายๆประเทศว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ยังมีผลต่อการรักษาหรือไม่นั้น อย่างไรก็ตาม กลไกการออกฤทธิ์ของยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ RNA ไวรัสทำให้เชื้อไวรัสเปลี่ยนแปลงไป และถูกร่างกายกำจัดออกไปได้
ส่วนข้อบ่งใช้นั้น ได้รับการขึ้นทะเบียนรักษาไวรัสไข้หวัดใหญ่ และมีการศึกษานำมาใช้รักษาไวรัสอีโบลาได้ผล จึงเป็นยาต้านไวรัส หรือสามารถใช้กับไวรัสได้หลายตัว อย่างไรก็ตาม ช่วงปีที่แล้วที่เริ่มมีการระบาด ประเทศไทยก็มีการศึกษาข้อมูลจากที่อื่นๆ แต่ขอย้ำว่า ปัจจุบันทั่วโลกยังไม่มียาต้านไวรัสตัวไหนใช้รักษาโควิด-19 เพราะจะทำได้ต้องมีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างยาตัวนี้ กับยาหลอก เพื่อศึกษาวิจัย แต่กรณีโควิด-19 อยู่ระหว่างทดลอง ยังไม่มีตัวไหนขึ้นทะเบียนว่ารักษาโควิด-19
นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีรายงานจากจีนว่า ยาฟาวิพิราเวียร์สามารถลดการติดเชื้อได้ดีกว่ายาต้านไวรัสตัวอื่น อย่าง ยาต้านไวรัสเอดส์ LPV/RTV จากการศึกษาของรัสเซียก็เช่นกัน พบว่ายาฟาวิพิราเวียร์กำจัดเชื้อดีกว่าการรักษาตามมาตรฐานในวันที่ 5 เมื่อเห็น 2 รายงานนี้ จึงได้ทำแนวทางการรักษา ล่าสุด มีการปรับแนวทางเป็นฉบับที่ 17 ข้อมูลการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในประเทศไทย ข้อมูลจากกรมการแพทย์ และคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆใน กทม. รวมทั้งโรงพยาบาลใน กทม. ได้รวบรวมข้อมูลเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมาจากคนไข้กว่า 400 คน พบว่า ผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์เร็วภายใน 4 วันหลังเริ่มมีอาการ พบว่า ลดอาการรุนแรงได้ 28.8% ขณะที่ทางรามาธิบดีศึกษาศึกษาค่ามัธยฐานของระยะเวลาการเริ่มให้ยาจนถึงผุ้ป่วยอาการดีขึ้น หากผู้ป่วยโรคปอดบวมรุนแรงใช้เวลา 17 วันดีขึ้น แต่หากปอดบวมไม่รุนแรงใช้เวลา 9 วัน
อย่างไรก็ตาม ทาง HITAP ได้ทบทวนรายงาน 12 การศึกษาในต่างประเทศ มีบางรายงานพบมีประสิทธิผล กับบางรายงานไม่มีประสิทธิผล อย่างที่รายงานว่า ยังไม่มีรายงานว่ายาตัวไหนรักษาโควิดได้จริงๆ จึงมีแต่การทดลอง และทำแนวทางการศึกษาของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ ในเรื่องประสิทธิผลที่ใช้ มีการพิจารณาหลายเรื่อง อย่างที่ HITAP ประเมินมามีทั้งความรุนแรงของผู้ป่วย ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือไม่ หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือไม่ รวมทั้งสถานที่ศึกษา ซึ่งมีความแตกต่าง บางการศึกษาในคนไข้นอก บางการศึกษาคนไข้ใน ทำให้ผลค่อนข้างแปรปรวน นอกจากนั้น ขนาดยาและปริมาณยาก็ไม่เท่ากัน เป็นต้น
“ข้อมูลที่ออกมาแล้วและที่ HITAP เขียนเหมือนกันคือ ยาฟาวิพิราเวียร์มีประสิทธิผลในการลดอาการทางคลินิกใน 7 วัน และ 14 วัน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ยาฟาวิพิราเวียร์ จึงต้องขอวงเล็บไว้ว่า สนับสนุนแนวทางการรักษาล่าสุดฉบับที่ 17 ที่ควรเริ่มให้ยา ตั้งแต่เริ่มมีอาการ และผมได้สอบถามคุณหมอที่อยู่หน้างาน ก็บอกเช่นกันว่า ต้องให้เร็วจะดี ถ้าให้ช้าไม่ค่อยดี จึงสอดคล้องกับทาง HITAP ดังนั้น ในประเด็นยาฟาวิพิราเวียร์ จะให้ผลหรือไม่ ต้องดูว่าเปรียบเทียบกับยาอะไร โดยส่วนใหญ่ 12 การศึกษาไม่ได้เปรียบเทียบกับยาหลอก แต่เปรียบเทียบกับยาที่แต่ละประเทศใช้อยู่ สรุปคือ ยาฟาวิพิราเวียร์มีประสิทธิผลในการลดอาการทางคลินิก” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า สำหรับแนวทางเวชปฏิบัติฯ ที่ออกมานั้น ไม่ใช่แค่กรมการแพทย์ แต่ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ทั้งกรมต่างๆในกระทรวงสาธารณสุข ราชวิทยาลัย และสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมเวชบำบัดวกฤตแห่งประเทสไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น โรงเรียนแพทย์ อาทิ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จุฬาฯ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การปรับแนวทางแต่ละครั้งมีการถกเถียงกันมาก เพราะจะมีทั้งประสบการณ์หน้างาน รายงานต่างประเทศ รวมทั้งผลศึกษายาใหม่ๆ ซึ่งมีการพูดเหมือนกัน อย่างสนับสนุนให้ทำการศึกษาวิจัย เช่น ยาไอเวอร์เม็คติน เป็นต้น
“สธ.ยินดีรับฟังความเห็นแตกต่าง ยอมรับการระบาดในไทยค่อนข้างวิกฤต แม้เป็นวันแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 2 หมื่นคน แต่ยังวางใจไม่ได้ เรารับความเห็นแตกต่าง แต่ต้องไม่แตกแยก เอาทุกความเห็นมานั่งคุยกัน ความเห็นที่แตกต่างทำให้เกิดมุมมองที่หลากหลายได้ น่าจะมานั่งคุยกันให้เกิดการตัดสินใจที่ดีที่สุด สธ.น้อมรับคำวิจารณ์ทุกภาคส่วน ทั้งราชการ นอกราชการ ประชาสังคม เอ็นจีโอ ชุมชน หรือประชาชน แล้วมานั่งคุยกันบนหลักฐานเชิงประจักษ์ ถ้าร่วมแรงร่วมใจจะฝ่าวิกฤตไปได้” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับยาฟาวิพิราเวียร์ ขณะนี้ทางองค์การเภสัชกรรมมีการสั่งจองและเตรียมผลิตเองหลายสิบล้านเม็ด และจะทยอยเข้ามา รวมทั้งเรามีการติดตามศึกษาผล โดยจะทำเป็นบิ๊กดาตา ที่ดูว่าผลของฟาวิพิราเวียร์ในรอบระบาดเดลตา เป็นอย่างไร เพราะแพทย์หน้างานบอกว่า หากให้ยาช้าเกิน 5-6 วันผู้ป่วยจะเป็นนิวมอเนียพอสมควร จึงต้องให้เร็ว ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชเปิดคลินิกยาฟาวิพิราเวียร์ เพราะกังวลคนไข้ได้รับยาช้า
@ เตรียมฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ให้กับ ปชช.
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้กับประชาชนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ว่า สำหรับในประเทศไทย ที่ให้กับบุคลากรด้านหน้า เพราะมีความเสี่ยงมากที่สุดในการปฏิบัติงานทุกวันมีโอกาสได้รับเชื้อ จึงจะต้องป้องกันกลุ่มนี้ก่อน อย่างไรก็ตามมอย่างที่ทราบกันว่า กลุ่มอื่นๆ ที่ได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซิโนแวค 2 เข็ม ก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาโดยคณะผู้เชี่ยวชาญนะครับ คาดว่าจะมีข้อเสนอแนะออกมาในช่วงสัปดาห์หน้าว่า มีความจำเป็นต้องให้กลุ่มอื่นด้วยเมื่อไหร่ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าบุคลากรทางการแพทย์ด้านหน้า
ส่วนระยะเวลาหลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แล้วนานเท่าไหร่ เนื่องจากขณะนี้ข้อมูลทางวิชาการ ก็มาเพิ่มขึ้นว่าทุกชนิดของวัคซีน เมื่อฉีดไปแล้วสัดระยะหนึ่งภูมิคุ้มกัน ก็จะลดลง แต่กลุ่มที่ฉีดเร็วและได้มีโอกาสฉีดก่อน ตั้งแต่เดือน มี.ค. ซึ่งขณะนี้เดือน ส.ค.ก็ผ่านไปแล้ว ประมาณสัก 5 เดือน ก็จะต้องมีโอกาสได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยจะเป็นวัคซีนต่างชนิดจาก 2 เข็มแรก ขอให้พี่น้องประชาชนได้สบายใจ ทางกระทรวงสาสุขโดยคณะผู้เชี่ยวฃวชาญอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งหากได้ผลสรุปอย่างไร จะนำมาแจ้งให้พี่น้องประชาชนได้ทราบ แต่แนวโน้มก็คือว่าคนที่ฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตาย 2 เข็มไปแล้ว จะได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในโอกาสต่อไป
@ ศิริราชเผยฉีดวัคซีนไขว้ภูมิขึ้นสูง
ด้าน ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยถึงผลการวิจัยวัคซีนทั้งสูตรฉีดไขว้และการฉีดบูสเตอร์โดส ซึ่งพบว่าการฉีดวัคซีนแบบเข็มสลับ ซิโนแวคก่อน แล้วตามด้วยแอสตร้าเซเนก้า ภูมิขึ้นสูง 1,355 หน่วย ใกล้เคียงกับการฉีดไฟเซอร์ 2 เข็มที่มีภูมิขึ้นเฉลี่ย 1,900 หน่วย และไม่แนะนำให้ฉีดแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 1 และตามด้วยซิโนแวคเป็นเข็มสอง เพราะสร้างภูมิคุ้มกันได้ต่ำกว่า จาก 147 หน่วยขึ้นเป็น 222 หน่วย ส่วนการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ในผู้ที่ฉีดซิโนแวคครบโดส พบว่าแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนกระตุ้นภูมิสูงกว่าการฉีดกระตุ้นด้วยซิโนฟาร์ม 4 เท่า และได้ภูมิสูงกว่าการฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม ถึง 1.7 เท่า และมีภูมิใกล้เคียงกับผู้ที่หายป่วยด้วยเชื้อเดลต้าหรืออัลฟ่า
ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวว่า สำหรับคนที่ฉีดซิโนแวคครบ 2 เข็ม ไม่เพียงพอกับการป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่ก็มีบางคนอาการุนแรง ระหว่างนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ ต้องมีมาตรการส่วนบุคคล ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรค หากมีโอกาสได้รับวัคซีนเข็ม 3 ให้รับเข้ารับทันที ไม่ต้องเลือกชนิดวัคซีน แม้กระทั่งซิโนฟาร์มก็กระตุ้นภูมิได้สูงขึ้น เพียงแต่ไม่ได้เทียบเท่ากับการกระตุ้นแอสตร้าเซนเนก้า พร้อมทั้งแนะนำว่า ในช่วงที่สายพันธุ์เดลตากำลังระบาด ควรฉีดเข็มสลับ ซิโนแวคแล้วตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า จะให้ประสิทธิภาพดีและใช้วัคซีนที่เรามีได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด สูตรสลับแบบนี้จะดีกว่าการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม เพราะกระตุ้นภูมิได้เร็วกว่า และมีให้ระดับภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าด้วย นอกจากการฉีดกระตุ้นด้วยแอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็ม 3 ให้ผลต่อต้านไวรัสได้ดีกว่ามาก สำหรับการฉีดเข็มกระตุ้นด้วยไฟเซอร์ ต้องรอดูผลการทดลองที่จะออกมาในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนผลการศึกษาเข็มสลับไฟเซอร์กับวัคซีนตัวอื่น ต้องรออีก 1 เดือนจึงจะทราบผล เนื่องจากเพิ่งได้รับวัคซีนมาศึกษา
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage