กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยฉีดวัคซีนกันโควิดสลับเข็มแรกซิโนแวค-แอสตร้าเซนเนก้า เข็ม 2 ภูมิคุ้มกันขึ้นสูง ส่วนกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ภูมิฯกันสายพันธุ์เดลต้าได้ดี ด้านซิโนฟาร์ม เป็นชนิดเชื้อตาย กระตุ้นได้ไม่มาก ไฟเซอร์ยังไม่มีข้อมูล คาดว่าจะดำเนินการ-ได้ผลอีก 1 เดือน
---------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2564 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงประเด็นภูมิคุ้มกันเมื่อฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ ว่า กรมวิทย์ฯ ได้ร่วมกับศิริราช ศึกษาวิจัยในอาสาสมัคร 125 ราย แบ่งเป็นชาย 61 ราย หญิง 64 ราย อายุเฉลี่ย 40 ปี (18-60ปี) โดยตรวจระดับภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า Quantitative Anti-S RBD เป็นการวัดภูมิภาพรวมไม่ได้แยกสายพันธุ์ใด และค่าที่ขึ้นเป็นเฉพาะแล็บของกรมวิทย์ โดยหน่วยที่เรียกค่าภูมิคุ้มกันกรณีตรวจภาพรวม เรียกว่า ค่า AU หรือ Arbitrary Unit โดยมีการใช้ซิโนแวคกับซิโนแวค เป็นฐานข้อมูลเปรียบเทียบ พบว่ากรณีการฉีดแอสตร้าเซนเนก้ากับแอสตร้าเซนเนก้า มีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า การฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ค่าภูมิคุ้มกันสูงขึ้นเป็น 117 ส่วนการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็มเป็นค่า 207 ขณะที่การสลับสูตรซิโนแวคเข็มแรก ตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ภูมิคุ้มกันขึ้นเฉลี่ยที่ 716 แต่ไม่ใช่ทุกคน ขึ้นอยู่ที่ภูมิคุ้มกันของแต่ละคน ซึ่งภูมิสูงขึ้นได้ตั้งแต่ 399-1127
โดยการศึกษาครั้งนี้ ข้อมูลมาจาก อาสาสมัครในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล โดยข้อมูลมาจากอาสาสมัครทั้งในส่วนกระทรวงสาธารณสุข และจากศิริราชพยาบาล มาจากทั้งกลุ่มประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ส่วนหนึ่ง ต่อมาได้มีการฉีดบูสเตอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ ในส่วนที่ได้รับแอสตร้าเซนเนก้า เข็มที่ 3 ก็พบว่า ภูมิคุ้มกันขึ้นเช่นกัน สามารถป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้ ส่วนสูตรบูสเตอร์ ค่าเฉลี่ย 1,000 เศษ สูงกว่าซิโนแวค 2 เข็มเดิมที่ได้รับ 10 กว่าเท่า
นพ.ศุภกิจ กล่าวด้วยว่า สำหรับผลข้างเคียงกรณีการฉีดซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า ผลข้างเคียงเป็นแบบแอสตร้าเซนเนก้า ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกัน เช่น ใครฉีดแอสตร้าเซนเนก้า จะมีไข้ สูตรการฉีดสลับก็เช่นกัน โดยได้มีการติดตาม 2 สัปดาห์เปรียบเทียบกับ 4 สัปดาห์ ผลการติดตามผลข้างเคียงแอสตร้าเซนเนก้า เข็ม 2 คือ มีไข้ 66% ปวดศีรษะ 33% อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ง่วงซึม 28% ใกล้เคียงกับการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม สรุปได้ว่าการฉีดวัคซีนสูตรสลับชนิดมีความปลอดภัย
สำหรับข้อมูลดังกล่าว เป็นการตรวจภูมิคุ้มกันโดยภาพรวม มีเทคนิคการตรวจที่ยาก เพราะต้องใช้ห้องปฏิบัติการที่เรียกว่า ห้องนิรภัยระดับ 3 สามารถจัดการเชื้อไวรัสเป็นได้ โดยวิธีนี้ เรียกว่า PRNT หรือ Plaque Reduction Neutralization Test ไม่สามารถตรวจได้ในห้องปฏิบัติการทั่วไป หลักการคือ จะใช้น้ำเลือด หรือซีรั่มมาเจือจางลงเรื่อยๆ และเพาะเชื้อไวรัสที่ต้องการทดสอบ และนำมาทดสอบ โดยการเจือจางต้องเจือจางให้ลดหรือกำจัดไวรัสได้ 50% จากนั้นจึงนำมาทดสอบภูมิคุ้มกันในคนที่ได้รับวัคซีน เช่น หากค่าได้ 40 หมายความว่าเราเจือจางได้ 40 เท่า ดังนั้น ตัวเลขยิ่งสูงยิ่งดี ที่สำคัญเป็นการทดสอบกับไวรัสจริง เป็นวิธีมาตรฐาน
นพ.ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลต้าที่มีการระบาดในไทยแล้วกว่า 90% โดยจะแสดงให้เห็นถึงอาสาสมัครแต่ละรายเกิดภูมิคุ้มกันต่อเดลต้าอย่างไร โดยค่าภูมิที่ขีดเส้นกำหนดว่า เท่ากับ 10 โดยตั้งไว้ว่า หากเกินเส้นนี้ถือว่าใช้ต่อสู้ไวรัสได้ และยิ่งเกินมากยิ่งดี
อย่างไรก็ตาม ภูมิคุ้มกันจะเริ่มลดลงโดยธรรมชาติ สำหรับค่าเฉลี่ยสูตรเดิมฉีดซิโนแวค และซิโนแวค ค่าเฉลี่ยขึ้นมาประมาณ 24 เกินเส้นจุดตัดมาตรฐาน ถือว่าใช้ได้ในการกำจัดเชื้อไวรัสในหลอดทดลอง ส่วนการสลับสูตรโดยคนฉีดแอสตร้าเซนเนก้า เข็มแรก แต่ด้วยมีอาการข้างเคียงบางประการจึงฉีดซิโนแวคเข็มที่ 2 ค่าที่ได้ไม่ได้แตกต่างจากซิโนแวค 2 เข็ม ค่าเฉลี่ยขึ้นมาที่ 25 การสลับสูตรแบบนี้จึงไม่เพิ่มคุณค่ามาก ส่วนกรณีการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็มพบค่าเฉลี่ย 76 หมายความว่าสู้เดลต้าได้ขนาดเจือจางไป 76 เท่า
“เมื่อมีการสลับสูตร เป็นสูตรที่เป็นมาตรการสำคัญ คือ ฉีดด้วยซิโนแวค และ 3 สัปดาห์ถัดมาตามด้วยแอสตร้า พบค่าเฉลี่ยเป็น 78 เศษๆ ถือว่าพอๆกับหรือเหนือกว่าแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม ภูมิภาพรวมก็ขึ้นเช่นกัน ขณะที่ภูมิฯ ต่อเดลต้าก็ดีมากพอสมควร ดังนั้น การฉีดซิโนแวคและตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ใช้เวลาห่างของ 2 เข็มแค่ 3 สัปดาห์ และนับไปอีก 2 สัปดาห์ภูมิคุ้มกันก็สูงได้เร็วเมื่อเทียบกับการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม กว่าภูมิจะขึ้นต้องใช้เวลามากกว่า”
นพ.ศุภกิจ กล่าวถึงกรณีการบูสเตอร์ว่า ซิโนฟาร์ม ยังมีข้อจำกัด เพราะฉีดบูสเตอร์ไปเพียง 14 คน แต่ข้อมูลจะพบว่าการฉีดบูสเตอร์ด้วยซิโนฟาร์มเฉลี่ย 61 มากกว่าซิโนแวค 2 เข็มถึง 2.5 เท่า แต่ภูมิคุ้มกันก็ขึ้นไม่มาก เพราะเป็นแพลตฟอร์มเชื้อตายเหมือนกัน ขณะที่การบูสเตอร์ด้วยแอสตร้าเซนเนก้า โดยบุคลากรทางการแพทย์จำนวนหนึ่งฉีดบูสเตอร์ด้วยแอสตร้าเซนเนก้า พบว่าสู้กับสายพันธุ์เดลต้าได้ดีมากถึง 271 ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดบูสเตอร์ด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ขอให้มีความมั่นใจ อย่างไรก็ตาม การวิจัยทั้งหมดยังไม่ได้ตอบคำถามว่า ภูมิคุ้มกันที่ขึ้นมาจะอยู่ได้นานแค่ไหน อย่างการบูสด้วยเข็ม 3 ขึ้นมา 11 เท่า ตกลงอยู่ได้นานแค่ไหน จึงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ และสำหรับกรณีไฟเซอร์ เพิ่งดำเนินการก็ต้องรอข้อมูลให้ครบ 2 สัปดาห์หลังจากนั้นจะหาอาสาสมัครมาศึกษา และเปรียบเทียบอีก
“สรุป 1.คนที่ได้รับวัคซีนสูตรไขว้ โดยซิโนแวค เข็มแรก และเข็ม 2 ด้วยแอสตร้าเซนเนก้า จะได้ภูมิคุ้มกันที่ดีพอๆกับการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า สองเข็ม แต่ข้อดีใช้เวลาสั้นลงเพียง 5 สัปดาห์ 2.หากจะสลับสูตรเป็นแอสตร้าเซนเนก้า เข็มแรก และซิโนแวคเข็ม 2 อันนี้ไม่แนะนำเพราะค่าภูมิฯไม่แตกต่างซิโนแวค 2 เข็ม ยกเว้นมีอาการแพ้ 3.การฉีดกระตุ้นด้วยแอสตร้าหลังได้รับซิโนแวค 2 เข็ม สามารถกระตุ้นภูมิฯ ได้ดีมากกับสายพันธุ์เดลต้า และ 4.การฉีดกระตุ้นด้วยซิโนฟาร์มหลังได้รับซิโนแวค 2 เข็ม ภูมิสูงึ้น แต่ยังน้อย และจำนวนคนยังน้อย 14 คน อาจต้องมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนกรณีเบตานั้น จะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม เพราะจำนวนยังน้อย”
สำหรับกรณีการศึกษาบูสเตอร์โดสในส่วนวัคซีนไฟเซอร์จะมีขั้นตอนและใช้เวลาดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อไหร่ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า วัคซีนไฟเซอร์เพิ่งมีการบูสเตอร์โดสให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าไปประมาณ 3-4 แสนราย และเพิ่งดำเนินการไป เนื่องจากไฟเซอร์เข้าประเทศไทยมาไม่นาน ส่วนขั้นตอนในการศึกษาภูมิคุ้มกันกรณีไฟเซอร์ จะมีการคัดเลือกอาสาสมัคร โดยจะคัดเลือกจะใช้หลักการกระจายกลุ่มอายุหลากหลายเพื่อเป็นตัวแทนในการศึกษาครั้งนี้ ส่วนระยะเวลาการศึกษาภูมิคุ้มกันกรณีบูสเตอร์ด้วยไฟเซอร์ ตามขั้นตอนหลังบูสเตอร์โดสไป 2 สัปดาห์ จึงจะมีการเจาะเลือดมาตรวจ และหลังจากนั้นก็จะเพาะกับไวรัสตัวจริงใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะทราบได้ คาดว่าจากนี้ไม่น่าเกิน 1 เดือนก็จะทราบผล
“หลังจากนี้ยังต้องติดตามว่าภูมิคุ้มกันที่ขึ้นสูงจะอยู่ได้นานอย่างไร รวมถึงการตรวจภูมิคุ้มกันหลังฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ และประสิทธิภาพของวัคซีนในการต่อสู้กับเชื้อสายพันธุ์บีต้า (แอฟริกาใต้) โดยการศึกษาวิจัยของกรมวิทย์ฯ จะเป็นคำตอบว่าวัคซีนบูสเตอร์โดสจำเป็นอย่างไร และต้องฉีดในระยะเวลาห่างกันอย่างไร เนื่องจากประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงตามระยะเวลา”
นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า สำหรับวิธีการฉีดวิธีใหม่ด้วยการฉีดชั้นผิวหนัง จากประสบการณ์คือ ใช้วัคซีนแค่ 25% ก็กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงเหมือนฉีดเข้ากล้าม 100% หากงานวิจัยนี้ยืนยัน และมีโอกาสสำเร็จก็จะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการวัคซีนของไทยมาก เนื่องจากจะสามารถฉีดวัคซ๊นให้กับประชาชนได้มากขึ้น จากวัคซีนจำนวนเดิม แต่ก็ต้องรอผลการศึกษาก่อนเพื่อให้ได้หลักฐานเชิงประจักษ์ โดยจะเร่งมือทำเรื่องนี้ต่อไป
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage