ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6,519 พันราย รวมสะสมตั้งแต่การระบาดระลอกแรก 301,172 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 54 ราย ด้าน ศบค.เผยพบสัดส่วนการติดเชื้อในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเทียบเท่า กทม. คาดอาจพบสายพันธุ์เดลต้ากระจายออกไป สัปดาห์หน้าอาจมีผู้ป่วยใหม่ถึง 1 หมื่นรายต่อวัน พร้อมย้ำเคร่งครัดมาตรการส่วนตัว ลดการเดินทาง เฝ้าระวังผู้สูงอายุ และฉีดวัคซีน
-----------------------------------------
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ รองโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) รายงานสถานการณ์ประจำวัน โดยพบผู้ติดป่วยรายใหม่ 6,519 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ 6,448 ราย เกิดจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 4,958 ราย เกิดจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 1,490 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ 55 ราย และอีก 16 ราย เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมผู้ป่วยสะสมตั้งแต่การระบาดระลอกแรก 301,172 ราย หายป่วยเพิ่ม 4,148 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล 67,614 ราย โดยในจำนวนนี้มีอาการหนัก 2,496 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 676 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 54 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 2,387 ราย
สำหรับผู้เสียชีวิต 54 ราย มาจาก กทม. 30 ราย ปัตตานี 4 ราย สมุทรปราการ และปทุมธานี จังหวัดละ 3 ราย นครราชสีมา ยะลา และสมุทรสาคร จังหวัดละ 2 ราย เชียงราย เพชรบุรี ชลบุรี นครปฐม ชัยภูมิ นราธิวาส นครศรีธรรมราช และพระนครศรีอยุธยา จังหวัดละ 1 ราย เป็นชาย 32 ราย หญิง 22 ราย มีอายุระหว่าง 26 - 89 ปี
โดยปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค ประกอบด้วย ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ติดเตียง ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคหัวใจ โรคอ้วน หลอดเลือดสมอง โรคปอด โรคเลือด และติดสุรา ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มาจากในครอบครัว คนอื่นๆ ได้แก่ เพื่อนร่วมงาน เพื่อน และศูนย์สูงวัย อาศัยหรือเดินทางเข้าไปในพื้นที่ระบาด เข้าไปในสถานที่แออัดพลุกพล่าน เช่น พิธีทางศาสนา ตลาด และโรงงาน และมีอาชีพเสี่ยง เช่น รับจ้าง
โดย 10 จังหวัดที่มีอันดับผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่สูงสุด ตามลำดับ ได้แก่ กทม. 1,549 ราย สมุทรปราการ 548 ราย สมุทรสาคร 434 ราย นครปฐม 266 ราย ชลบุรี 262 ราย ฉะเชิงเทรา 252 ราย ประจวบคีรีขันธ์ 241 ราย นนทบุรี 235 ราย ปทุมธานี 212 ราย และปัตตานี 190 ราย
ด้านผู้ป่วยรายใหม่ที่เดินทางมาจากจากต่างประเทศ ทั้งหมด 16 ราย แบ่งเป็น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย บังคลาเทศ 1 ราย สหราชอาณาจักร 1 ราย อินเดีย 5 ราย ลิเบีย 1 ราย โอมาน 1 ราย และกัมพูชา 5 ราย
ขณะที่ การกระจายวัคซีนในประเทศ ข้อมูล ณ วันที่ 6 ก.ค.2564 พบผู้ที่ได้รับผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เพิ่มเติม จำนวน 223,268 ราย และผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 46,385 ราย รวมสะสมผู้ได้รับวัคซีนแล้ว 11,328,043 ราย แบ่งเป็น ผู้ได้รับเข็มที่ 1 จำนวน 8,245,297 ราย และผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 3,082,746 ราย
ฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรก จำนวน 8,245,297 ราย คิดเป็นความครอบคลุมทั้งประเทศได้ 16.5% ซึ่งสามารถจำแนกตามกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย บุคลากรการแพทย์ จำนวน 768,365 ราย คิดเป็น 107.9% เจ้าหน้าที่ด่านหน้า จำนวน 675,493 ราย คิดเป็น 35.6% อาสาสมัครประจำหมู่บ้าน จำนวน 328,958 ราย คิดเป็น 32.9% ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง จำนวน 835,915 คิดเป็น 15.6% ประชาชนทั่วไป จำนวน 4,019,589 คิดเป็น 14.1% และผู้มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป จำนวน 1,616,977 คิดเป็น 16.5%
@ คาดสัปดาห์หน้าผู้ติดเชื้ออาจพุ่งถึง 10,000 รายต่อวัน
พญ.อภิสมัย กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดในปัจจุบันว่า ขณะนี้มี มีรายงานพบโควิดสายพันธุ์เดลต้า (สายพันธุ์อินเดีย)ใน กทม. เพิ่มสูงขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก หากดูตามกราฟจะพบว่าการติดเชื้อในกทม.และปริมณฑลเส้นสีน้ำเงิน มาบรรจบกับเส้นผู้ติดเชื้อในต่างจังหวัด แสดงว่ามีการเดินทางจาก กทม. ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทำให้พบผู้ติดเชื้อในปริมาณที่เท่ากัน ดังนั้นเมื่อมีการเดินทางไปยังต่างจังหวัดอาจมีการกระจายของสายพันธุ์เดลตาออกไป ขณะที่สายพันธุ์อัลฟา (สายพันธุ์อังกฤษ) เริ่มพบน้อยลง จึงเน้นย้ำว่าขอความร่วมมือผู้สูงอายุเข้ารับวัคซีนโควิด เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่หากติดเชื้อมีโอกาสรุนแรงและเสียชีวิต
พญ.อภิสมัย กล่าวอีกว่า ด้านแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความเป็นห่วงเรื่องของการแพร่ระบาด มีการประเมินคร่าวๆ ว่า เริ่มพบสายพันธุ์เดลตาประมาณช่วงเดือน มิ.ย. ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐอเมริกา รายงานด้วยว่าสายพันธุ์นี้มีความสามารถแพร่กระจายเร็ว คาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ 2 เท่า (Doubling time) ภายใน 2 สัปดาห์
“ตอนนี้เราจะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อ 1,000 ขึ้นเป็น 2,000 เป็น 4,000 ถ้าสมมติเราคาดการณ์ไปในสัปดาห์หน้าอาจจะยังขึ้นได้ถึง 10,000 รายต่อวัน ทุกท่านต้องเน้นย้ำมาตรการส่วนตัว ที่สำคัญคือ การลดการเคลื่อนย้าย เฝ้าระวังผู้สูงอายุ และเน้นย้ำการฉีดวัคซีน” พญ.อภิสมัย กล่าว
@ กทม.พบ 2 คลัสเตอร์ใหม่ เฝ้าระวัง 118 แห่ง
พญ.อภิสมัย กล่าวอีกว่า สำหรับการระบาดใน กทม. มีรายงานพบคลัสเตอร์ใหม่ 2 แห่ง คือ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ในเขตมีนบุรี ติดเชื้อรวม 17 ราย และโรงงานจิวเวอรี่ ในเขตบางนา ทำให้ กทม. ต้องเฝ้าระวัง 118 คลัสเตอร์
@ พบ 3 คลัสเตอร์ใหม่ ใน 3 จังหวัด เป็นโรงงาน-โรงพยาบาล
ส่วนการระบาดในจังหวัดอื่นๆ พบคลัสเตอร์ 3 ใหม่ กระจาย 3 จังหวัด มีผู้ติดเชื้อรวม 160 ราย ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี พบคลัสเตอร์ใหม่ในโรงงานน้ำจิ้ม อ.บางบัวทอง ติดเชื้อ 61 ราย จังหวัดปทุมธานี พบคลัสเตอร์ใหม่ในโรงพยาบาลเอกชน อ.คลองหลวง ติดเชื้อ 10 ราย และจังหวัดตาก พบคลัสเตอร์ใหม่ในโรงงานพืชไร่ อ.แม่สอด ติดเชื้อ 33 ราย
@ กทม.เปิด 5 ศูนย์พักคอย รองรับผู้ป่วยสีเขียว
สำหรับการจัดการเตียง พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ในที่ประชุมศบค.ชุดเล็กได้พูดมาตรการจัดการเตียง คือ การเพิ่มศักยภาพการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังศูนย์บริการที่รับการดูแลให้ความสำคัญผู้ป่วยระดับเหลืองและแดง โดยผู้ป่วยระดับสีแดงจะต้องเข้าสู่ระบบทันที ส่วนผู้ป่วยระดับสีเหลือจะใช้เวลาคอยที่น้อยที่สุดคือ 1 วัน
"ส่วนผู้ป่วยสีเขียว จะมีการจัดสรรให้ไปอยู่ที่ศูนย์พักคอยของกทม.ในแต่ละเขต ซึ่งล่าสุดกทม.จะเปิดให้บริการรับผู้ป่วยไปยังศูนย์พักคอยรอเตียง 5 ศูนย์ คือ อาคารปฏิบัติธรรม วัดอินทรวิหาร 170 เตียง วัดสะพาน เขตคลองเตย 250 เตียง ค่ายลูกเสือวันวาน หนองจอก 200 เตียง วัดศรีดารามวรวิหาร บางกอกน้อย 90 เตียง ศูนย์สร้างสุขทุกวัย บางแค 150 เตียง"พญ.อภิสมัย กล่าว
ทั้งนี้ศูนย์พักคอยที่เหลือจะทยอยเปิดภายในวันที่ 9 ก.ค.2564 นี้ สำหรับโรงพยาบาลพี่เลี้ยงที่จะดูแลศูนย์พักคอย ประกอบด้วย โรงพยาบาลหลวงพ่อศักดิ์ ชุตินธโร โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงสิรินธร โรงพยาบาลตากสิน และโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์
@ ทั่วโลกพบผู้ป่วยเพิ่ม 428,467 สะสม 18.5 ล้านราย
ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลกพบผู้ป่วยเพิ่ม 428,467 ราย รวม 185,381,383 ราย อาการหนัก 77,694 ราย หายป่วย 169,720,398 ราย เสียชีวิต 4,008,981 ราย โดยสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยเพิ่ม 11,612 ราย รวม 34,622,690 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 202 ราย รวม 621,561 ราย อินเดีย พบเพิ่ม 43,957 ราย รวม 30,662,896 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 930 ราย รวม 404,240 ราย บราซิล พบเพิ่ม 62,504 ราย รวม 18,855,015 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1,787 ราย รวม 527,016 ราย ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 64 ของโลก
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/