"...ด้วยความคิดพื้นฐานที่ต่างกันเช่นนี้ ความคิดที่จะทำอะไรของเอกชนถ้าหากมีอำนาจแบบรัฐบาลอยู่ในมือ จึงขาดความรอบคอบ ขาดการคำนึงถึงสาธารณชน ยิ่งมีอำนาจมากยิ่งลืมประชาชนมาก ซึ่งตัวอย่างมีให้เห็นไม่น้อย ในประเทศไทยเอง เราก็เคยมีเศรษฐีเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์คนปัจจุบันนี้ก็เป็นมหาเศรษฐี ประเทศอิตาลีเมื่อสิบกว่าปีมาแล้วก็เคยมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นมหาเศรษฐี..."
ได้ฟังข่าวความคิดอันบรรเจิดของท่านนายกรัฐมนตรีที่ออกมาทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเมื่อวันศุกร์ที่ 17 เมษายน นี้ว่า ท่านนายกจะมีหนังสือไปเรียนเชิญมหาเศรษฐีของไทย 20 คน มาปรึกษาหารือ เพื่อขอมาให้แสดงความคิดร่วมแก้วิกฤตของประเทศในขณะนี้ ผมรู้สึกสบายๆอยู่ แต่เมื่อได้ยินข่าวตัวเกิดร้อนผ่าวขึ้นมาเลย ทั้งนี้เพราะเกรงว่าหากท่านนำความคิดของเศรษฐีมาบริหารประเทศจริง ประเทศไทยน่าจะพังกว่าที่ท่านและคณะรัฐมนตรีของท่านคิดเองบริหารเองเสียอีก
ผมจบเศรษฐศาสตร์มานาน จำได้ตอนเรียนปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา อาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งผมจำชื่อท่านไม่ได้แล้ว แต่จำที่ท่านสอนไว้ประการหนึ่งได้แม่นว่า “เอกชนกับรัฐนั้นต่างกันอย่างหนึ่งแบบคนละทิศเลย คือ เอกชนนั้นเขามุ่งทำแต่กำไรเป็นหลัก จะใช้วิธีถูกผิดศีลธรรมและจรรยาบรรณบ้าง อย่างไรก็ได้ เขามองกำไรมากและยั่งยืนไว้ก่อน แต่ผู้บริหารของรัฐนั้น จะต้องไม่คิดทำกำไร จะต้องคิดแต่การบริการสาธารณะที่มีธรรมาภิบาล กำไรคือความอยู่ดีกินดีของประชาชนทั้งประเทศ”
ด้วยความคิดพื้นฐานที่ต่างกันเช่นนี้ ความคิดที่จะทำอะไรของเอกชนถ้าหากมีอำนาจแบบรัฐบาลอยู่ในมือ จึงขาดความรอบคอบ ขาดการคำนึงถึงสาธารณชน ยิ่งมีอำนาจมากยิ่งลืมประชาชนมาก ซึ่งตัวอย่างมีให้เห็นไม่น้อย ในประเทศไทยเอง เราก็เคยมีเศรษฐีเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์คนปัจจุบันนี้ก็เป็นมหาเศรษฐี ประเทศอิตาลีเมื่อสิบกว่าปีมาแล้วก็เคยมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นมหาเศรษฐี
เมื่อไม่กี่วันมานี้มีเศรษฐีใหญ่ท่านหนึ่งของไทย ท่านออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมากมาย โดยได้ชื่นชมว่า ท่านนายกรัฐมนตรีเที่ยวนี้เด็ดขาด มีเหตุมีผล แก้วิกฤตโควิด 19 ได้ดี และท่านก็ได้แสดงวิสัยทัศน์ที่ดีมากว่า วันนี้ต้องมาคิดกันแล้ว ถ้าฟื้นกลับมาจะทำยังไง ท่านยังได้แนะต่อไปว่า ไทยเราเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคนี้ ต้องกล้าคิด กล้าทำ ควรถือโอกาสนี้ปรับฐานการแข่งขันของประเทศ ถือโอกาสนี้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสิ่งที่ท่านได้แนะมานี้ ผมยังไม่เคยฟังจากรัฐบาลเลย กล่าวได้ว่า ข้อแนะนำของท่านได้ชี้แนวทางไว้ชัดมาก ยอดเยี่ยมจริงๆ
หวังว่าเมื่อท่านนายกรัฐมนตรีได้พบปะปรึกษาหารือกับมหาเศรษฐีทั้ง 20 คนแล้ว ท่านนายกคงสามารถแยกแยะออกนะครับว่า คำแนะนำของท่านใดดีจริง และของท่านใดดีไม่จริง