
"...กลไกเริ่มต้นจากบริษัทประกันภัยรับประกันภัยจากผู้เอาประกัน ด้วยค่าเบี้ยประกันที่ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึง ครอบคลุมตามทุนประกันเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติ ซึ่งรัฐจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันให้กับผู้ทำประกันในสัดส่วนร้อยละ 40 ถือได้ว่า บริษัทประกันจะรับบริหารความเสี่ยงในขั้นต้น และส่งผ่านความเสี่ยงที่เหลือไปยังบริษัทประกันภัยต่อ (re insurance) ที่จัดตั้งใหม่ ซึ่งจะเป็นการจัดตั้งร่วมกันของบริษัทประกันภัยไทยทั้งหมด โดยมีเป้าหมายทุนเริ่มต้นไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท และมีเงินสบทบทุกปี ตามสัดส่วนของการรับประกันภัยของแต่ละบริษัท ทั้งนี้ บริษัทรับประกันใหม่ (re insurance) จะเน้นการส่งต่อความเสี่ยงภายในประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพในการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยในประทศ ก่อนไปสู่บริษัทประกันภัยต่างประเทศต่อไป อย่างไรก็ดี หากระดับความเสี่ยงเกินศักยภาพของบริษัทประกัน รัฐบาลจะเข้ามาช่วยรองรับความเสียหายในส่วนที่เหลือต่อไปในฐานะ backstop..."
ผมไม่ปล่อยให้ชีวิตหลังเกษียณผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย ยังคงหาเวลาอ่านและเขียนหนังสือ พร้อมตั้งวงสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนรอบข้าง เพื่อให้สมองได้ทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะนี่คือ “ยาวิเศษ” ที่ช่วยลดความขี้ลืม และป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่จะกลายเป็นภาระของลูกหลานในอนาคต
แต่เพื่อให้สมองได้ทำงานอย่างเต็มศักยภาพ ผมจึงตั้งใจมองหาหลักสูตรที่ยังอยู่ในเกณฑ์ “ลุง” สมัครได้ และตอบโจทย์ความเชื่อที่ว่า “การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด” เริ่มตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผมสมัครเข้าเรียนหลักสูตร Director Certification Program (DCP) ของสถาบัน Thai IOD เพื่อทำความเข้าใจบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของกรรมการบริษัทในด้านกำกับดูแลกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ การถอด “หมวกใบเดิม” จากผู้กำกับดูแล ทำให้ได้เห็นมิติใหม่ของความรับผิดชอบที่ต้องอาศัยทั้งความซื่อสัตย์และความระมัดระวังหรือที่เรียกว่า Fiduciary Duty
หลักสูตร DCP ใช้เวลาเพียงหกสัปดาห์ แต่กลับทำให้ผมติดใจและอยากเรียนรู้เพิ่มเติม จึงเริ่มค้นหาหลักสูตรอื่น จนพบหลักสูตร วิทยาการประกันภัยระดับสูง ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่เปิดเรียนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เหตุผลง่าย ๆที่สมัครเพราะเนื้อหาเกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบประกันภัย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจการเงินที่ผมสนใจ
ผู้เข้าอบรมกว่า 150 คนมาจากหลายสาขา ทั้งภาคประกันภัย แพทย์ นักกฎหมาย จนถึงภาคการเงิน ส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยทำงาน แม้จะมีผู้อบรมบางคนอายุเลยเลขหก แต่ทุกคนยังสุภาพพอที่จะเรียกผมว่า “พี่”
เนื้อหาหลักสูตรฉายภาพครอบคลุมทั้งประกันวินาศภัยและประกันชีวิต วิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจในไทยและต่างประเทศ รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ที่เปลี่ยนโฉมธุรกิจอย่างมาก สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือ การทำให้ประชาชนเข้าใจประโยชน์ของประกันภัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ได้ถูกบังคับ เช่น ประกันอัคคีภัยหรือภัยธรรมชาติ เพราะหลายคน “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” ในขณะที่บริษัทประกันต้องเผชิญสภาพแวดล้อมที่ผันผวน ซับซ้อน และคลุมเครือมากขึ้น ทำให้การบริหารความเสี่ยงยิ่งท้าทาย [1]
ไฮไลต์สำคัญของการอบรมคือการได้ร่วมทำ “ผลงานทางวิชาการ” ของรุ่น ซึ่งคว้ารางวัลดีเด่น โดยได้รับคำแนะนำจาก ดร.ปิยวดี โขวิฑูรกิจ อาจารย์ที่ปรึกษา ให้จัดทำหัวข้อ “กลไกประกันภัยพิบัติไทยผ่านโมเดล AI-Driven ที่ยั่งยืน” แม้ในตอนแรกจะไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน แต่ทุกคนเห็นพ้องกันว่าเป็นหัวข้อที่น่าศึกษาค้นคว้า เพราะภาวะโลกรวนทำให้เกิดภัยพิบัติถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น และกินเวลานานขึ้น เห็นได้จากเหตุการณ์อุทกภัยตั้งแต่แม่สายที่น้ำท่วมเมืองถึงสองครั้งเมื่อต้นปี ไปจนถึงน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่หาดใหญ่ จากปรากฏการณ์ “Rain Bomb” ที่ทำให้เมืองจมน้ำในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง รวมถึงเหตุแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ที่ทำให้หลายอาคารเสียหาย
ความเสียหายเหล่านี้ยังไม่มีกลไกเยียวยาที่ชัดเจน รัฐบาลยังต้องใช้งบฉุกเฉินปีต่อปี ซึ่งล่าช้าและไม่ครอบคลุม ในขณะที่บริษัทประกันเองต่างประสบปัญหาประเมินความเสียหายล่าช้า เช่น กรณีคอนโดเสียหายจากแผ่นดินไหวที่ผ่านมา 7 เดือน กว่าสินไหมทดแทนจะคืบหน้า
ด้วยปัญหาเช่นนี้ ทีมจึงเริ่มศึกษาต้นแบบต่างประเทศ เช่น Japan Earthquake Reinsurance ที่รัฐและเอกชนร่วมรับความเสี่ยงผ่านกลไกการประกันเป็นทอด ๆ (risk layering) และระบบ Catastrophes Naturelles ของฝรั่งเศส ที่บังคับให้ทุกกรมธรรม์ทรัพย์สินมีส่วนร่วมในกองทุนภัยพิบัติแห่งชาติ โดยรัฐเป็น backstop เมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติใหญ่ ที่น่าแปลกใจคือ ไทยเองเคยมีกองทุนประกันภัยพิบัติตั้งหลังวิกฤตปี พ.ศ. 2554 แต่ยกเลิกในปี พ.ศ. 2559 เพราะขาดกลไกสะสมทุนที่ยั่งยืน และมีข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการ
จากบทเรียนต่างประเทศและประสบการณ์ในไทย นำมาสู่การเข้าไปขอความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คปภ. สมาคมประกันวินาศภัย บริษัทประกันภัย และสภา SME เพื่อนำมาวิเคราะห์และเป็นข้อเสนอของทีมงาน ที่พยายามตอบโจทย์บริบทของประเทศไทย คำนึงถึงข้อจำกัดของทั้งภาครัฐบาลและเอกชน โดยเฉพาะด้านการจัดสรรงบประมาณ และการร่วมทุนของภาครัฐและเอกชน โดยในระยะแรกจะมุ่งเน้นคุ้มครองทรัพย์สินของ SMEs ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบาง เข้าไม่ถึงและขาดความเข้าใจระบบประกันภัย แต่มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
กลไกเริ่มต้นจากบริษัทประกันภัยรับประกันภัยจากผู้เอาประกัน ด้วยค่าเบี้ยประกันที่ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึง ครอบคลุมตามทุนประกันเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติ ซึ่งรัฐจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันให้กับผู้ทำประกันในสัดส่วนร้อยละ 40 ถือได้ว่า บริษัทประกันจะรับบริหารความเสี่ยงในขั้นต้น และส่งผ่านความเสี่ยงที่เหลือไปยังบริษัทประกันภัยต่อ (re insurance) ที่จัดตั้งใหม่ ซึ่งจะเป็นการจัดตั้งร่วมกันของบริษัทประกันภัยไทยทั้งหมด โดยมีเป้าหมายทุนเริ่มต้นไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท และมีเงินสบทบทุกปี ตามสัดส่วนของการรับประกันภัยของแต่ละบริษัท ทั้งนี้ บริษัทรับประกันใหม่ (re insurance) จะเน้นการส่งต่อความเสี่ยงภายในประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพในการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยในประทศ ก่อนไปสู่บริษัทประกันภัยต่างประเทศต่อไป อย่างไรก็ดี หากระดับความเสี่ยงเกินศักยภาพของบริษัทประกัน รัฐบาลจะเข้ามาช่วยรองรับความเสียหายในส่วนที่เหลือต่อไปในฐานะ backstop [2]

แม้ข้อเสนอนี้ยังมีรายละเอียดอีกมากที่ต้องหารือ แต่ทีมงานหวังว่า รายงานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนากลไกประกันภัยพิบัติที่ยั่งยืน ใช้งบประมาณรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ขยายการเข้าถึงประกันภัยให้ประชาชนในวงกว้าง และสร้างระบบบริหารความเสี่ยงระดับประเทศที่รองรับภาวะโลกรวนที่ปัจจุบันกำลังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
แหล่งที่มา:
[1] หะริน อาจอำนวยวิภาส สรุปธุรกิจประกันภัย มองภาพใหญ่ เข้าใจตัวเลข บทบรรยายให้กับนักศึกษาหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง รุ่นที่ 13 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568
[2] รายงานการศึกษากลุ่ม GP1 รุ่นที่ 13 เรื่อง กลไกประกันภัยพิบัติไทยผ่านโมเดล AI-Driven ที่ยั่งยืน คลิกดูรายชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ประสานงาน และคณะทำงานกลุ่ม GP1 รุ่น 13

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา