“…ตามกฎหมายแล้ว นอกจาก (แบงก์ชาติ) มีความอิสระ และมีเป้าหมายในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลักแล้ว แต่ก็มีเขียนไว้ว่า ต้องคำนึงถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย ไม่ใช่อิสระแบบหลุดลอยไปเลย หรือไม่ดำเนินการอะไร อิสระแบบมีเป้าหมาย ต้องคุยกัน แล้วทำไปด้วยกัน แต่ตอนตัดสินใจนโยบายทางการเงิน หรือการออกความเห็นในเรื่องสำคัญๆ เรามีอิสระอย่างเต็มที่ อันนี้ก็ยืนยันอีกครั้ง…”
....................................
หมายเหตุ : นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง และ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวงานปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤตสู่ความยั่งยืน” (Fiscal-Monetary Synergy in Sight) จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2568
@มุ่ง Reskill-พัฒนา‘ทักษะคน’ให้พร้อมรองรับอนาคต
ถาม : ในระยะยาวจะทำอย่างไร ไม่ให้จีดีพีของไทยร่นถอยลงไปเรื่อยๆ จะมีนโยบายปรับโครงสร้างฯอย่างไรบ้าง
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ : อันแรกต้องยอมรับความจริงว่า เรากินบุญเก่ามานาน แล้วไม่ได้ลงทุนใหม่เลย ฉะนั้น แม้ผมจะเข้ามาช่วยงานในช่วงเวลาสั้นๆเพียง 4 เดือน แต่สิ่งที่สำคัญที่ต้องการทำ คือ อยากจะวางรากฐานไว้กับให้ใครก็ตาม ที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลในสมัยหน้า
ผมคิดว่าประเทศไทยวันนี้ เราเจอสภาพเดียวกัน คือ ปัญหาเรื่องโครงสร้างฯ และที่เราเจอผลกระทบของภาษีทรัมป์แรง เพราะเราหันไปพึ่งการส่งออกเยอะ พอพึ่งการส่งออก แต่ในประเทศอ่อนแอ เมื่อการส่งออกสวิงที ก็กระเทือนที เพราะการส่งออกสินค้าคิดเป็น 60% เมื่อรวมกับบริการด้วยก็ 70% ของจีดีพี เราจึงถูกกระทบแรง
ดังนั้น การสร้างความเข้มแข็งในประเทศผ่านการลงทุนในระยะยาว จึงสำคัญมากๆ ผมจึงเน้น หนึ่ง คือ การลงทุนในคน จะเห็นว่าเกือบทุกนโยบายที่พูดมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ‘คนละครึ่งพลัส’ ,การลงทุนของบีโอไอ ซึ่งมีเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ,การช่วยเหลือ SMEs และที่ทำเยอะ คือ Reskill ทั้งหมดนี้จะเน้นไปที่คน
จริงๆแล้ว เมืองไทยเรามีเป้าหมายที่ชัดและต่างชาติก็สนใจเยอะมาก เช่น เรื่องเกษตร ,การแปรรูปอาหาร ,เกษตรสมาร์ทฟาร์มมิ่ง ,อุตสาหกรรมรถยนต์สมัยใหม่ รถอีวี ,อุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ,อุตสาหกรรมทางการแพทย์ ,medical tourism , medical hub และการแพทย์แพทย์ครบวงจร ซึ่งเรายังเป็นที่ต้องการเยอะมาก
เพียงแต่ว่า ปัจจัยสำคัญที่สุด คือ เรื่องคน และทักษะคนไทย ที่เขา (นักลงทุน) ไปเวียดนามเยอะกว่าเรา เพราะเวียดนามมีคน โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เอ็นจิเนียร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) แต่เมืองไทยเราไม่มีเลย หรือมีน้อยมาก ฉะนั้น ผมถึงเน้นเรื่อง Reskill เพราะการจะให้ประเทศไทยรองรับสำหรับอนาคตนั้น เราต้องเน้นเรื่อง Reskill
เรื่องคน ถ้าเป็นระดับบนสุด คือ ระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ผมใช้บีโอไอเป็นเครื่องมือ ใช้ทำเรื่อง Demand-Driven (แนวทางที่ขับเคลื่อนโดยความต้องการ) คือ เมืองไทยมีมหาวิทยาลัย แต่จัดหลักสูตรที่ผลิตคนออกมาแล้วตกงานกันมาก ซึ่งตอนนี้มีหลักสูตรสั้นๆ ออกมาเยอะ ก็เลยเอาเงินบีโอไอ 1 หมื่นล้านบาท มาลงเรื่องการ Reskill
เราจะไปจับมือกับคนที่ได้บีโอไอ และนักลงทุนว่า คุณต้องการอะไร แล้วมาจัดหลักสูตร โดย matching กับมหาวิทยาลัย เหมือนกับในสมัยก่อนที่เรามีสถาบันเทคนิคไทย-เยอรมัน ไทย-ญี่ปุ่น ไม่ต้องจัดหลักสูตรแบบ 4 ปี หลักสูตร 4 ปีก็ทำไป แต่นี่อันนี้ คือ หลักสูตรสั้นๆ เพื่อเพิ่มทักษะคน
ส่วนระดับกลาง ก็ทำเรื่อง SMEs ทำเรื่อง business transformation และในระดับระดับล่าง ก็พัฒนาทักษะของคน โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ทำให้คนไทยเข้าสู่โลกดิจิทัล ให้เขาได้เรียนรู้ ฉะนั้น สำคัญที่สุดในการเตรียมพร้อมสำหรับเมืองไทยให้กลับมากลับมาเข้มแข็งใหม่ คือ เรื่องคน
@ต้อง‘ประสานนโยบาย’ยกระดับขีดแข่งขันปท.
เรื่องที่สอง คือ การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ต่างๆ ซึ่งตอนนี้เมืองไทยมีคนมาลงทุนเรื่องดาต้าเซ็นเตอร์กันมาก ที่เขามาลงทุนกันเยอะนั้น เป็นเพราะประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐาน มีน้ำ มีไฟฟ้า มีสาธารณูปโภคต่างๆอยู่เยอะ โดยเฉพาะในภาคตะวันออก ที่มีทั้งท่าเรือ สนามบิน และมีทุกอย่าง
แต่วันนี้ โลกยุคใหม่ต้องการพลังงานสะอาด ต้องการ green energy แต่เรามีไม่พอ ต้องปลดล็อกตรงนั้น เราจึงเตรียมลงทุนในเรื่อง floating solar ,Solar Farm และจะมีการนำเงินจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) มาลงทุนสำหรับอนาคต คือ พลังงานสะอาด โดยที่ไม่เป็นภาระงบประมาณเลย
สมัยก่อน ญี่ปุ่นมาลงทุนในเมืองไทย เพราะมีไฟฟ้า มีน้ำพร้อม แต่เดี๋ยวนี้คนอยากมาลงทุนในเมืองไทย เพราะต้องการพลังงานสะอาด ซึ่งอันนี้ คือ การลงทุนเพื่ออนาคต ดังนั้น อย่างน้อยเรื่อง green energy ต้องพร้อม ต้องปลดล็อก Direct PPA (Direct Power Purchase Agreement) ให้เขาทำเองได้ ให้เขาขายไฟเข้าโรงงานได้
แล้วที่สำคัญที่สุด คือ ต้องปลดล็อกเรื่องกติกา ประเทศไทยเราติด Red tape (ระเบียบและขั้นตอนยุ่งยาก ซับซ้อน มากเกินไป) เยอะมาก กฎกติกาเยอะ ผมเข้าไปบีโอไอ บีโอไอบอกว่า ปีนี้และปีหน้ามีเงิน 4 แสนกว่าล้าน จาก 80 โครงการ ที่พร้อมลงทุน แต่ติดเรื่องขอน้ำ ขอไฟฟ้า ขอวีซ่า ผมจึงทำโครงการ Thailand Fast Pass เพื่อปลดล็อกตรงนี้ก่อน
ใน 80 โครงการนั้น เราให้ทีมบีโอไอลงไปคุย เจอทั้งหมดว่าปัญหาคืออะไร แล้วเอา Thailand Fast Pass เข้าไปแก้สั้น แต่ได้ผลยาว และไม่ใช่แค่นั้น เรายังเอาเรื่องนี้ เอาตัวอย่างจริงที่ภาคธุรกิจเจอปัญหา ทั้งเรื่องขอน้ำ ขอไฟ ขอที่ดินทั้งหลาย แล้วส่งไปแก้ยาว คือ กีโยติน (Regulatory Guillotine) ซึ่งทำได้เลย แต่ถ้าเป็นระดับ พ.ร.บ.ต้องรอรัฐบาลใหม่
สรุปแล้ว การลงทุนเพื่ออนาคต คือ ลงทุนในคน ต้องทำให้คนไทยเก่งขึ้น เกิดการลงทุนสมัยใหม่มากขึ้น ที่สำคัญคือ เรื่อง productivity เรื่องกฎกติกา และเทคโนโลยี ซึ่งอันนี้จะเป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
อีกอันหนึ่งที่ช่วยได้เยอะมาก คือ เรื่องข้อมูล แต่พูดตรงๆประเทศไทย เรามีไซโลเยอะมาก ข้อมูลที่ขึ้นมาจากแต่ละไซโลไม่ตรงกัน ถ้าได้คุยกันก่อน อันไหนที่ไม่ตรงกันก็แก้ ก็จะช่วยได้มาก เพราะทำให้การประสานงานกัน ทำได้ง่าย และสอง คือ ผมเชื่อในหลักการว่า แบงก์ชาติต้องมีอิสระในเชิงเครื่องมือ
แต่ถ้าเป็นเรื่องนโยบาย เรา คือ คนไทย เรา คือ ประเทศไทย เรารับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจด้วยกัน ฉะนั้น มันจึงต้องไปด้วยกันในเชิงนโยบาย คำว่า policy coordination (การประสานนโยบาย) ที่อยู่ในวิสัยทัศน์ของท่าน (แบงก์ชาติ) จึงสำคัญมาก ส่วนในเรื่องอิสระเชิงเครื่องมือ ท่านทำเลย เพราะอันนี้ท่านต้องกำกับ เราอยากช่วยให้ประเทศไทยมีศักยภาพการแข่งขัน โตอย่างมีเสถียรภาพแล้วก็ยั่งยืน
@‘ผู้ว่าฯธปท.’ชี้‘แบงก์ชาติ’ไม่ใช่‘อิสระแบบหลุดลอย’
วิทัย รัตนากร : ผมคิดว่าเราทำงานร่วมกันเต็มที่ การประสานงานไม่มีติดขัดเลย แล้ว coordination ก็ไปในทางเดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าแบงก์ชาติต้องอิสระในการตัดสินใจเรื่องนโยบายทางการเงิน ซึ่งอันนี้ รองนายกฯ และรมว.คลัง ก็ให้อิสระเราอย่างเต็มที่
ตามกฎหมายแล้ว นอกจาก (แบงก์ชาติ) มีความอิสระ และมีเป้าหมายในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลักแล้ว แต่ก็มีเขียนไว้ว่า ต้องคำนึงถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย ไม่ใช่อิสระแบบหลุดลอยไปเลย หรือไม่ดำเนินการอะไร อิสระแบบมีเป้าหมาย ต้องคุยกัน แล้วทำไปด้วยกัน แต่ตอนตัดสินใจนโยบายทางการเงิน หรือการออกความเห็นในเรื่องสำคัญๆ เรามีอิสระอย่างเต็มที่ อันนี้ก็ยืนยันอีกครั้ง
นอกจากนี้ วิทัย ยังกล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงานฯ เกี่ยวกับบทบาทของแบงก์ชาติ และสิ่งที่แบงก์ชาติได้ทำร่วมกับรัฐบาลก่อนหน้านี้ และความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ว่า ผมรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2568 วันนี้ทำงานมา 2 เดือนเต็ม กำลังจะเข้าเดือนที่ 3 พร้อมๆกับการมาของรัฐบาลชุดใหม่ และพร้อมๆกับการมาของท่านรองนายกฯเอกนิติ
จะขอเล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และบริบทที่เปลี่ยนไปก่อน ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ เราจะพบว่า วันนี้เราอยู่ในจุดที่ต้องบอกว่า เศรษฐกิจเติบโตต่ำมาก ชัดเจนว่าเศรษฐกิจเราไม่ได้เหมือนสมัยก่อน ก่อนเกิดโควิดเศรษฐกิจเราโต 4% แต่ปีนี้ ที่คาดการณ์ไว้ เราจะโต 2.1% และปีหน้าจะโต 1.6%
เราอยู่ในสถานะ ซึ่งไม่เหมือนเดิม สมัยเดิมไม่ต้องทำอะไรมาก ก็โตปีละ 4% 3% หรือ 5% สบายๆ แต่ตอนนี้เรากำลังกังวลว่า new normal ของเราจะอยู่ที่ประมาณ 2% เรามีโอกาสสูงจริงๆที่จะเป็นเช่นนั้น และที่ซ้ำร้ายยิ่งกว่าการเติบโตที่ 2% คือ การเติบโตมันไม่กระจายตัว และไม่ทั่วถึง
วันนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ยังพอไปได้ดี ยังเข้าสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ค่อนข้างดี ไม่ต้องพูดถึงสถาบันการเงิน ซึ่งแข็งแรงมาก กำไรสูงมาก แต่ธุรกิจ SMEs กลับข้างกันอย่างชัดเจน มีปัญหาจริงๆ สินเชื่อ SMEs ติดลบต่อเนื่องมา 13 ไตรมาส หรือเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ถ้าเราไม่เข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง เราจะมีปัญหาจริงๆ
ในส่วนของรายย่อย การเติบโตของรายได้บุคคล โตแบบลดลงต่อเนื่อง จากแต่เดิมโตปีละ 4-5% ลงมา 3% ลงมา 2% ปีนี้ปีหน้าจะเหลือไม่ถึง 2% แล้วครัวเรือนก็มีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายต่อเนื่องหลายปี ซึ่งการที่ครัวเรือนมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายต่อเนื่องหลายปี แปลว่าเขาต้องกู้ มันก็เป็นแรงกดดันกลับมาที่หนี้ครัวเรือนอีก นี่คือปัญหา
ฉะนั้น หนึ่งในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป คือ เราอยู่ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนเดิม แต่เดิมไม่ต้องทำอะไรมากก็โต 3-4% ตอนนี้เราพูดถึง 2% หรือต่ำกว่านั้นในปีหน้า
@ลด‘ดอกเบี้ยนโยบาย’ช่วยเศรษฐกิจได้‘จำกัด’
ประเด็นที่สอง เราอยู่ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุมเร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว เรื่อง productivity โครงสร้างประชากรที่เป็นสังคมสูงวัย หนี้ครัวเรือน การกระจายรายได้ นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องของธรรมาภิบาล การเมืองที่ไม่นิ่ง และปัญหาเรื่องคน
เราอยู่ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างมากมายจริงๆ เราต้องการคนลงมือแก้ เราต้องการคนทำ ต้องการหน่วยงานมาทำ มากกว่าการวิเคราะห์อย่างเดียว
ประเด็นที่สาม สิ่งที่ต้องรับความจริง คือ นโยบายทางการเงิน เป็นนโยบายในภาพรวม มีผลต่อภาพรวม การลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือหลัก การขึ้นลงของดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเครื่องมือหลักของนโยบายการเงิน มีผลในวงกว้าง แต่มันไม่ใช่นโยบายที่เป็น target ที่จะเข้าไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างหรือแก้ปัญหาเป็นจุดๆได้
ฉะนั้น การลดดอกเบี้ยนโยบายแต่ละครั้ง มีผลต่อเศรษฐกิจ แต่ถ้ามีปัญหาเชิงโครงสร้าง ผลต่อเศรษฐกิจจะมีจำกัด เช่นปัจจุบัน ด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มา 4 ครั้ง มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้หรือปีหน้าเพียงต่ำกว่า 0.2% เพราะมันไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่เป็นปัญหาเรื่องดีมานด์ ไม่เป็นปัญหาเรื่องการบริโภค มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
ถ้าแบงก์ชาติยังใช้เครื่องมือทางการเงินหลัก คือ ใช้ดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียว ก็จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจน้อยมาก และเราจะขึ้นชื่อว่า เราเป็นผู้วิเคราะห์อีกหน่วยงานหนึ่งที่ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร เช่นกันในเรื่องเงินเฟ้อต่ำ ปีนี้น่าจะออกติดลบ 0.1% ถามว่าลดดอกเบี้ยแล้ว มีผลกระตุ้นดีมานด์หรือไม่ ก็ตอบว่า มี แต่ก็จำกัด
สมมุติว่า วันนี้เราลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ทันที จะช่วยประคองเงินเฟ้อปีหน้าได้ และทำให้เงินเฟ้อบวกประมาณ 0.1% ซึ่งน้อยมาก แต่ถามว่าดอกเบี้ยนโยบายยังมีความจำเป็นหรือไม่ ก็ตอบว่า มีความจำเป็น เพราะมันช่วยเรื่องสภาพคล่อง มันช่วยทำให้คนอยู่ได้ มันช่วยทำให้การจ่ายหนี้จ่ายได้ ไม่เป็น NPLs ช่วยธุรกิจ ช่วยเศรษฐกิจได้
และมันยังมี room (ช่องว่างในการลดดอกเบี้ยนโยบาย) ที่จะลงไปได้ แต่เดี๋ยวก็ต้องดูว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบนี้ ช่วงกลางเดือน ธ.ค.2568 ว่า จากข้อมูลที่ออกมา กนง. จะเห็นอย่างไร
@ปรับบทบาทกลับมาดูแล'เศรษฐกิจมหภาค'มากขึ้น
เวลาพูดอย่างนี้ ผมหมายความว่า สิ่งที่แบงก์ชาติจะทำต่อจากนี้ไป ผมจะปรับเปลี่ยนเป้าหมายและวิธีการทำงานของแบงก์ชาติบ้างเล็กน้อย จากแต่เดิมที่แบงก์ชาติจะดำเนินการหลักๆในด้านนโยบายการเงิน โดยใช้ดอกเบี้ยนโยบายเป็นหลัก ซึ่งเราเห็นแล้วว่า มันมีความจำกัด
ในวันนี้ เราจะเปลี่ยนจากผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลัก ซึ่งก็คือเรื่องเงินเฟ้อ สถาบันการเงินเข้มแข็ง ระบบการเงินชำระเงินของเรามีเสถียรภาพ ที่มีความเสี่ยงจำกัด ไปเป็นการกลับมาดูแลเรื่องเศรษฐกิจมหภาคให้มากขึ้น
คือ นอกจากเราจะดูแลเรื่องเสถียรภาพแล้ว เราต้องเป็นผู้นำในการเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจมหภาค เข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง เราจะไม่วิเคราะห์อย่างเดียว เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เราต้องทำให้คนกินดีอยู่ดี
ถ้าคุมเงินเฟ้อได้ แต่สุดท้ายประชาชนเดือดร้อน ธุรกิจปิดตัว จนทั้งหมด มันก็อยู่ไม่ได้ เราจะมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคแน่นอน เราต้องช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ซึ่งแปลว่าเราต้องออกมาตรการเฉพาะจุด ใช้มาตรการเฉพาะจุดเพื่อแก้ปัญหานั้นๆ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง และต้องออกมาตรการอย่างต่อเนื่อง
เราต้องอยู่ใกล้กับประชาชน ใกล้ชิดกับปัญหามากขึ้น และตรงแบบคำขวัญของเรา (แบงก์ชาติ) ที่ยึดถือต่อเนื่องกันมากว่า 20 ปีแล้ว คือ ‘ยืนตรง’ มีหลักการ ‘มองไกล’ มองเห็นปัญหาในอนาคต และ ‘ยื่นมือ ติดดิน’ เราจะยื่นมือเข้าไปแก้ปัญหา และเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาของประชาชน
สิ่งที่เราทำเป็นรูปธรรมครั้งแรก คือ การเข้าไปแก้ปัญหาหนี้ NPLs ของคนที่เป็นหนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท เราใช้เวลาเดือนเดียวเสร็จ ซึ่งหนี้ครัวเรือนที่มีสัดส่วนสูงถึง 87% ต่อจีดีพีนั้น หนี้เสีย 60% อยู่ในกลุ่มบุคคลที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาทลงมา คิดเป็น 4.7 ล้านบัญชี ซึ่งในการโอนหนี้ NPLs ล็อตแรกนี้ เราจะช่วยได้เกือบ 2 ล้านคน
อีกจุดหนึ่งเราอยากทำ คือ การออกกลไกค้ำประกันสินเชื่อใหม่ ซึ่งน่าจะช่วยทำให้มีการปล่อยสินเชื่อได้ 1-1.2 แสนล้านบาท โดยจะพุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรมที่เรายังมีขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ เช่น อาหาร เกษตร wellness และสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เราหวังว่า นอกจากสินเชื่อ SMEs จะกลับมาเป็นบวกแล้ว จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นไปได้
และจากนี้ไป สิ่งที่เราจะขยับขึ้นไปดู คือ การดึงคนที่ไม่เคยกู้เงินได้ เช่น คนจน คนฐานราก และ SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่สาม ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งมีบทบาทนำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการใช้นโยบายทางการเงิน
บริบทเปลี่ยนแปลงไป ของเดิมทำดีอยู่แล้ว ทำนโยบายการเงินเป็นหลัก วันนี้นโยบายการเงิน ก็ต้องทำ มีความเป็นอิสระ แต่ต้องเสริม เพราะนโยบายการเงินไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ นโยบายการเงินไม่สามารถทำให้คนในภาพรวมกินดีอยู่ดี เราจะใกล้ชิดกับปัญหา อยู่ใกล้กับสังคม จะไม่มีคำว่าหอคอยงาช้างกับแบงก์ชาติอีกต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา